กะพงทอง ปลิงทะเล ปูทะเล ขึ้นแท่นสัตว์น้ำเศรษฐกิจเกรดพรีเมี่ยม เลี้ยงง่าย รายได้งาม

ปู

สถานการณ์การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวหลังจากโควิดคลี่คลาย รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนและมีมาตรการกระตุ้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ นับเป็นโอกาสทองของธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร มาจนถึงธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ใช้เป็นวัตถุดิบป้อนอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อเสิร์ฟเป็นเมนูรสเด็ดดึงดูดนักท่องเที่ยว

ในปี 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าหมายสร้างรายได้เข้าประเทศ 3 ล้านล้านบาท ด้วยการดึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าไทย 35 ล้านคน

วันที่ 16 กันยายน 2566 นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงหนึ่งในหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำควบคู่ไปกับการส่งเสริมอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เกษตรกรไทย เห็นโอกาสในช่องทางดังกล่าว จึงได้สำรวจความต้องการของตลาดทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย จากทั้งในและต่างประเทศ และคัดเลือกสัตว์น้ำเศรษฐกิจ นำร่อง 3 ชนิด ได้แก่ “ปลากะพงทอง ปลิงทะเล ปูทะเล” เพื่อมาส่งเสริมและต่อยอดเป็นวัตถุดิบคุณภาพ

โดยได้ส่งเสริมความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำดังกล่าว ให้คำแนะนำและติดตามผลการเลี้ยงอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างผลผลิตให้ได้ปริมาณรองรับความต้องการของตลาด พร้อมผลักดันให้เข้าสู่มาตรฐานเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลกมากยิ่งขึ้น

ทั้งยังได้พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงอาหาร อาทิ การร่วมกับสถาบันศิลปะการอาหาร The V School กรุงเทพฯ วางแนวทางการพัฒนาเมนูอาหารเพื่อยกระดับคุณภาพอาหารทะเลของไทย ด้วยการสร้างเมนูอาหารที่ดึงดูดคุณค่าของวัตถุดิบออกมาผ่านเมนูแปลกใหม่เพื่อกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค

จุดเด่นสัตว์น้ำ 3 ชนิด

ปลากะพงทอง หรือ อังเกย เป็นปลาทะเลที่พบได้ในทะเลฝั่งอันดามัน บริเวณภูเก็ต กระบี่ และพังงา มีลักษณะเด่นที่ลำตัวสีเหลืองทอง มีจุดสีดำใหญ่บริเวณลำตัวปัจจุบันศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งภูเก็ต (ศพช.ภูเก็ต) สามารถเพาะพันธุ์ปลากะพงทองได้สำเร็จ และมีการผลิตลูกพันธุ์ออกจำหน่ายให้เกษตร ในราคาตัวละ 20 บาท เลี้ยงได้ทั้งในกระชังบริเวณชายฝั่งทะเลและในบ่อดิน

โดยให้กินปลาสดหรืออาหารเม็ด วันละ 1– 2 มื้อ ใช้ระยะเวลาการเลี้ยง ประมาณ 10-12 เดือน สามารถทยอยจับขายได้ปลากะพงทอง มีโปรตีนและกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 สูง

ด้วยคุณค่าทางโภชนาการอีกทั้งมีเนื้อที่แน่น รสชาติดี ปรุงเมนูไหนก็อร่อย โดยเฉพาะนึ่งซีอิ๊ว ต้มยำ แกงส้ม และซาซิมิ ฯลฯ ทั้งยังจำหน่ายได้ราคาเป็นที่พอใจ โดยเฉลี่ยราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 200-250 บาท ทำให้เป็นที่นิยมเลี้ยงอย่างมาก

ซึ่งปัจจุบันกรมประมงได้มีการตั้งจุดสาธิตการเลี้ยงปลากะพงทองและการจัดฝึกอบรมการเพาะเลี้ยงปลากะพงทอง เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรได้นำความรู้ไปปรับใช้ในการเพาะเลี้ยงปลากะพงทองเชิงพาณิชย์เพิ่มมากขึ้น

ปลิงขาว เป็นปลิงทะเลที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยโปรตีนและคอลลาเจน คนจึงนิยมนำมาบริโภค และใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาและอาหารเสริม ราคาขายปลิงสด กิโลกรัมละ 250-500 บาท และแบบตากแห้งราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 1,500-5,000 บาท

ปลิงชนิดนี้ พบอาศัยอยู่หน้าดินบริเวณแนวชายฝั่งทะเล ประเทศไทยพบมากในแนวหญ้าทะเลชายฝั่งทะเลอันดามันแถวพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทั้งนี้ ปลิงทะเล มีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศของท้องทะเล เพราะทำหน้าที่ช่วยลดสารอินทรีย์ในระบบห่วงโซ่อาหาร โดยปลิงทะเลจะใช้หนวดจับตะกอนดินที่มีสารอินทรีย์ปะปนอยู่เข้าสู่ทางเดินอาหารแล้วดูดซับสารอินทรีย์ไว้ หลังจากนั้นจึงขับถ่ายออกมาเป็นตะกอนดินที่สะอาด ซึ่งช่วยลดผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อม

ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ จึงได้ดำเนินการเพาะพันธุ์ “ปลิงขาว” โดยสามารถผลิตลูกพันธุ์ปลิงขาวได้สำเร็จและมีแผนปล่อยลูกปลิงขาวคืนสู่ธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการจำหน่ายลูกพันธุ์ให้เกษตรกร โดยผลิตขนาด 2 เซนติเมตรซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมต่อการนำไปเลี้ยงต่อในบ่อดิน และจำหน่ายให้เกษตรกรในราคาตัวละ 5 บาท โดยใช้ระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 12 เดือน จะได้ขนาด 300-500 กรัม  ซึ่งเป็นขนาดที่เป็นที่ต้องการของตลาดเพื่อจับขึ้นจำหน่ายให้กับร้านอาหารหรือโรงแรมได้

ส่วนปูขาว หรือปูทองหลาง เป็นปูทะเลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ราชินีปู” ถือเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญ ต่อเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยลักษณะเด่น คือ ตัวใหญ่ ก้ามโต เนื้อแน่น รสชาติหวานมัน ไม่มีกลิ่นโคลน สามารถนำไป แปรรูปเป็นเมนูได้หลากหลาย อาทิ ปูนึ่ง ปูผัดผงกะหรี่ หลนปู ฯลฯ ส่งผลให้เป็นที่นิยมของผู้บริโภค โดยราคาขายปูไข่ในตลาดขนาด 300-500 กรัมราคา 500-800 บาท ต่อกิโลกรัม ส่วนปูเนื้อขนาด 400-700 กรัม ราคา 300-600 บาท ต่อกิโลกรัม

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาขายสูง บวกกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภค ทำให้ปูทะเลถูกจับขึ้นมาเป็นจำนวนมากธรรมชาติไม่สามารถผลิตได้ทัน

ล่าสุดกรมประมงได้มอบหมายให้กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ดำเนินการเพาะขยายพันธุ์ปูทะเล และปล่อยคืนสู่ท้องทะเลเพื่อฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ ควบคู่ไปกับการจัดส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ถ่ายทอดองค์ความรู้และให้คำแนะนำส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาเพาะเลี้ยงปูทะเล

ด้วยจุดเด่นของการเลี้ยงปูทะเลที่ต้นทุนไม่สูงมาก ขั้นตอนการเลี้ยงไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 70-90 วัน สามารถจับขายได้  ปัจจุบัน กรมประมงได้ผลักดันให้เกษตรกรที่มีบ่อปลา/บ่อกุ้งร้าง หันมาทำเป็นบ่อเลี้ยงปูทะเล เพื่อยกระดับรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เศรษฐกิจฐานรากทั้งระดับครัวเรือนและชุมชน อีกทั้ง ยังมีส่วนในการขยายมูลค่าการค้าปูทะเลของไทยให้เพิ่มสูงขึ้น

แน่นอนว่าการพัฒนาทักษะในสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเพื่อสร้างโอกาสในการขยายช่องทางตลาดใหม่ๆ ให้เกษตรกร เป็นหนึ่งในนโยบายที่กรมประมงให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับตัวผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้เพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย