ดันอุทยานมิตรผลด่านช้าง สู่ Carbon Neutrality Complex แห่งแรกในไทย

กลุ่มมิตรผล ผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารอันดับ 2 ของโลก ประกาศความสำเร็จบนเส้นทางสู่การเป็นองค์กร Net Zero ผลักดันอุทยานมิตรผลด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี สู่คอมเพล็กซ์แห่งแรกของประเทศไทยที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality Complex) ได้ตามเป้าหมาย 

วันที่ 16 ตุลาคม 2566 นายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัทและประธานคณะกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า กลุ่มมิตรผล ยึดหลักการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและลงมือทำจริงมาเป็นเวลานาน เพราะเราอยู่ในภาคเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ทุกการดำเนินงานของเราจึงต้องมีคำว่า “ความยั่งยืน” อยู่ควบคู่กันเสมอ โดยเรามีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนภาคเกษตรให้มีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกและสิ่งแวดล้อม ซึ่งภาคเกษตรสามารถต่อยอดสู่การผลิตพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ที่นับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการใช้ทรัพยากรจากแหล่งธรรมชาติ เพื่อโลกที่ดียิ่งขึ้นได้

ทั้งนี้ กลุ่มมิตรผลมีการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า หรือ From Waste to Value Creation” ที่ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามายกระดับประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เพื่อต่อยอดธุรกิจน้ำตาลสู่การผลิตพลังงานไฟฟ้าชีวมวลที่ได้ดำเนินงานมากว่า 30 ปี และปัจจุบันได้ขยายสู่การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ความสำเร็จของการผลักดันอุทยานมิตรผล ด่านช้างฯ จึงเป็นเสมือนเครื่องยืนยันความตั้งใจและการลงมือทำจริงของเรา เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กร Net Zero ในอนาคตและร่วมสร้างสมดุลที่ดีให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

อุทยานมิตรผลด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นคอมเพล็กซ์ที่ประกอบไปด้วย 7 โรงงานต่อเนื่อง ที่เริ่มจากโรงงานน้ำตาล และหมุนเวียนใช้ทรัพยากรที่เหลือจากกระบวนการผลิตน้ำตาล ต่อยอดสู่โรงไฟฟ้าชีวมวล และอุตสาหกรรมไบโอเบส อีกทั้งในปัจจุบันได้มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เป็นจำนวนกว่า 270,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 300,000 ไร่ ผ่านแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ได้แก่

1. การใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Energy) จากการหมุนเวียนวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ชานอ้อย ใบอ้อย สู่การผลิตพลังงานไฟฟ้าชีวมวล รวมถึงใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้ภายในกระบวนการผลิตของทุกโรงงาน โดยได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูง ลดการสูญเสีย จึงช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 185,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

2. ระบบบริหารจัดการน้ำเสีย (Advanced Technology for Environmental Protection) ด้วยการใช้เทคโนโลยีการบำบัดแบบตะกอนเร่ง (Activated Sludge) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง มาแทนการใช้ระบบแบบเดิมที่ใช้พื้นที่มากและเกิดก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้น้ำที่ผ่านการบำบัดมีคุณภาพที่ดี สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 10,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

3. การชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Offset) จำนวน 75,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
จากคาร์บอนเครดิตที่กลุ่มมิตรผลได้รับจากการเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER)

นอกจากนี้ กลุ่มมิตรผล มีแนวทางการดำเนินงานที่ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้หลัก BCG จากผลผลิตทางการเกษตร การส่งเสริมการตัดอ้อยสด ลดการเผาอ้อย และการขยายพื้นที่ปลูกป่าเพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย โดยกลุ่มมิตรผลมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนโมเดลความเป็นกลางทางคาร์บอนฯ ขยายสู่โรงงานในเครือต่อไป เพื่อสานต่อความมุ่งมั่นของกลุ่มมิตรผลในการนำพาองค์กรก้าวสู่ Net Zero และสอดคล้องกับนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของประเทศไทย