กฟผ.ไม่เพียงเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ต้องนำเงินคืนรัฐ แต่ยังต้องมาแบกภาระในการดูแลค่าไฟของประเทศ สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน แม้ว่า กฟผ.จะออกมายืนยันว่า สถานะการเงินล่าสุดยังมีกระแสเงินสดอยู่ถึง 91,000 ล้านบาท ในสิ้นปี 2566
แต่หลายฝ่ายก็ห่วงกังวลถึงทิศทางการทำงานของ กฟผ. ที่ “ไร้บอร์ด” มานานกว่า 2 เดือน นับจาก คณะกรรมการบริหารการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (บอร์ด กฟผ.) ชุดเก่าได้ลาออกไปทั้งชุด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2566 หลังจาก นายกุลิศ สมบัติศิริ ประธานบอร์ด กฟผ. เกษียณอายุราชการ นั่นหมายถึง บอร์ด กฟผ.ว่างมาข้ามปีแล้ว
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- ทูลเกล้า 11 รายชื่อคณะรัฐมนตรี เศรษฐา 1/1 ออก 4 เข้าใหม่ 6 ตำแหน่ง
โดยกระบวนการตั้งบอร์ด กฟผ. จะเป็นไปตาม พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) จะต้องมีการเปิดรับสมัคร คณะกรรมการสรรหา แล้วส่งให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลงนามประกาศการสมัครคณะกรรมการบริหาร กฟผ.ต่อไป
ซึ่งก่อนหน้านี้ นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ประเมินว่า จะสามารถเสนอรายชื่อคณะกรรมการ กฟผ.ชุดใหม่ ให้ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้ภายใน 1 เดือนนับจากกลางเดือนตุลาคม 2566
แต่เมื่อกระบวนจัดตั้งบอร์ด กฟผ. จะต้องเปิดรับสมัครก็จะส่งผลให้การแต่งตั้งผู้ว่าการ กฟผ. ต้องล่าช้าลงไปด้วยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยล่าสุด นายประเสริฐกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กระบวนการตั้งบอร์ด กฟผ.อยู่ที่ คนร. คาดว่าจะได้ข้อสรุปเสนอคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนมกราคม 2567
สรรหาผู้ว่าการ กฟผ.ลากยาว
ผลจากการตั้งบอร์ด กฟผ.ที่ล่าช้า จะมีเอฟเฟ็กต์ต่อการดำเนินงานหลายด้านที่ยังคงคั่งค้างอยู่ โดยอันดับแรกคือ การสรรหาผู้ว่าการ กฟผ.ที่ค้างอยู่ ย้อนกลับไปถึงกระบวนการเดิม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ “นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์” ได้ผ่านขั้นตอนการสรรหา อีกทั้งบอร์ด กฟผ. ที่มี นายกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบไปตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2566 ไปแล้ว
แต่ภายหลังเมื่อเสนอชื่อให้กับ ครม.รัฐบาลรักษาการพิจารณา กลับ “ติดข้อจำกัด” ในเรื่องอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลรักษาการ จึงต้องให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ความเห็น แต่ กกต.พิจารณาแล้ว “ไม่เห็นเป็นเรื่องเร่งด่วน” นั้นหมายความว่า จะต้องให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เป็นผู้ให้ความเห็น
ดังนั้น เมื่อต้องเปลี่ยนบอร์ด กฟผ.ชุดใหม่ จึงต้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาว่า นายเทพรัตน์ ยังมีความเหมาะสมหรือไม่ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายไปในทิศทางเดียวกัน
แต่ผลของกระบวนการตั้งบอร์ด กฟผ.ที่ล่าช้า จะทำให้ “แคนดิเดต” ผู้ว่าการ กฟผ.เดิม ทั้งผู้ที่ได้รับการสรรหาไปแล้วจากรัฐบาลชุดที่แล้วอย่าง “นายเทพรัตน์” รวมถึงบุคคลที่อยู่ในลิสต์แคนดิเดตระดับรองผู้ว่าการ กฟผ. อย่าง นางสาวจิราพร ศิริคำ ก็จะ “ตกเกณฑ์” ไม่สามารถสมัครใหม่อีกรอบได้ เพราะหากคำนวณตามคุณสมบัติ วันสมัครอายุการทำงานเหลืออยู่ไม่ถึง 2 ปี
อย่างไรก็ตาม กฟผ.ยังไม่สามารถสรรหาผู้ว่าการคนใหม่ ก็จะส่งผลเชื่อมโยงถึงการแต่งตั้งบุคลากรในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ กฟผ. อย่าง “รองผู้ว่าการ กฟผ.” ที่ว่างอยู่ 3 ตำแหน่ง หลังจากรองผู้ว่าการ กฟผ. เกษียณอายุพร้อมกันเมื่อ 30 กันยายน 2566 คือ นายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์, นายกิตติ เพ็ชรสันทัด รองผู้ว่าการระบบส่ง และนางสาวนพวรรณ กาญจนะวรรณ รองผู้ว่าการบริหาร
จึงเหลือรองผู้ว่าการ กฟผ.อยู่เพียง 5 คน แต่เมื่อไม่มีผู้ว่าการ กฟผ. ก็ไม่มีการเสนอชื่อ รองผู้ว่าการ กฟผ.ใหม่ ทำให้ตำแหน่งรองผู้ว่าการ กฟผ. ว่างมา 3 เดือนกว่าแล้ว ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือจะไม่สามารถขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ได้ เพราะโดยปกติ กฟผ.จะแบ่งอำนาจหน้าที่ให้รองผู้ว่าการ กฟผ.ดูแลเรื่องต่าง ๆ เช่น ระบบส่ง
แน่นอนว่า รายชื่อแคนดิเดตผู้ว่าการ กฟผ.คนใหม่ เฉพาะที่อยู่ในองค์กรจึงลดลงเหลือ 3 คน คือ นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน, นางพัชรินทร์ รพีพรพงศ์ รองผู้ว่าการด้านการเงิน (CFO) และนายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง ส่วนแคนดิเดตหน้าใหม่ เช่น ผู้ช่วยผู้ว่า การ กฟผ. คนอื่นก็ยังไม่ได้ขยับขึ้นมาเป็นระดับ “รอง” เต็มตัว
จัดซื้อจัดจ้าง กฟผ.ป่วน
ที่สำคัญ การแต่งตั้งบอร์ด กฟผ. ยังผูกโยงไปถึงการดำเนินงานสำคัญ ๆ ในการขับเคลื่อนแผนงานของ กฟผ. โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างโครงการใหม่ ๆ ซึ่งต้องอธิบายว่า “อำนาจการจัดซื้อจัดจ้าง กฟผ.” นั้น หากเป็นโครงการที่มีวงเงินเกินว่า 200 ล้านบาท ถือเป็นอำนาจของบอร์ด โดยมีหลักเกณฑ์ผ่องถ่ายโครงการที่มีวงเงิน 200-700 ล้านบาท ให้สามารถใช้ “ซับบอร์ด” หรือ Executive Committee เป็นผู้พิจารณา ดังนั้นการที่ไม่มีบอร์ด อำนาจตรงนี้ไม่สามารถดำเนินการได้
แน่นอนว่า โครงการลงทุนค้างท่อจะมีจำนวนมากที่ลากยาวออกมา เช่น โครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง เพื่อทดแทนเครื่องที่ 8-9 ที่ถูกปลดออกจากระบบไฟฟ้า ซึ่งในปีก่อนได้มีการเข้าสู่กระบวนการจัดหา-จัดจ้างแล้ว แม้ว่าอนุกรรมการต่าง ๆ เห็นชอบไปแล้ว ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2566 เหลือเพียงแต่เข้าสู่การพิจารณาของบอร์ดเท่านั้น แต่แล้วก็มีการยุบบอร์ดเดือน ก.ย. จึงทำให้โครงการลงทุนระดับ 47,400 ล้านบาท ต้องลากยาวออกมา “คนไม่ค่อยสนใจประมูลทำโรงไฟฟ้าถ่านหินแล้ว แต่เมื่อยกเลิกไปก็ต้องมีการอนุมัติทำใหม่ แต่เมื่อไม่มีบอร์ดก็ไม่มีคนอนุมัติ”
โซลาร์ลอยน้ำล่าช้า
ไม่เพียงแต่ระบบโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ กฟผ.ยังมีแผนงานในการจัดทำ โครงการโซลาร์ลอยน้ำ หรือ Floating Solar ในเขื่อนทางภาคตะวันตกอีก 3 เขื่อน เช่น เขื่อนภูมิพล จ.ตาก, เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี และเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบรี รวมกำลังการผลิตอีกนับ 1,000 MW ที่กำลังรอเสนอบอร์ด โดยโครงการเหล่านี้ได้ผ่านการอนุมัติตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับปรับปรุง (PDP 2018 Rev 1) ไปแล้ว ต้องขอให้เร่งอนุมัติโครงการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้เดินหน้า
นอกจากนี้ การไม่มีบอร์ดยังกระทบต่อแผนการลงทุนเรื่อง “ระบบสายส่ง” ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานขนาดใหญ่ที่ กฟผ.วางไว้ แม้ว่าโครงการสายส่งนี้จะมีการแตกเป็นโครงการย่อย ซึ่งให้อำนาจระดับรองผู้ว่าการ กฟผ.พิจารณาได้ แต่ “รองผู้ว่าการ กฟผ.” ก็ยังว่างเหลือแต่รักษาการ
โดยโจทย์หลัก ๆ ที่บอร์ด กฟผ. จะให้ผู้ว่าการใหม่คนใหม่ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ที่สำคัญ อาทิ การแยกศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (SO) ออกจาก กฟผ. เพื่อให้มาบริหารที่ดึงคนนอกเข้าร่วมเพื่อความเป็นกลาง รวมไปถึงสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า (Internal PPA) ของ กฟผ. ที่ไม่เกี่ยวกับเอกชนที่จะต้องมีความชัดเจนในเรื่องของประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น
กฟผ.ตกเกณฑ์วัดผล KPI
สุดท้ายการไม่มีบอร์ด กฟผ. และผู้ว่าการคนใหม่ ก็จะย้อนกลับมาที่ตัว กฟผ.เอง เมื่อโครงการใช้เงินลงทุนไม่สามารถทำได้ ผลที่จะตามมาก็คือ กฟผ. จะตกเกณฑ์ดัชนีชี้วัดการทำงาน หรือ KPI ที่วัดผลเรื่องการใช้เงินลงทุนประจำปี ซึ่งในงบประมาณของปี 2566 นั้นจบไปแล้ว แต่ตอนนี้กำลังเข้าสู่ปีงบประมาณ 2567 หากงบประมาณผ่าน กฟผ.จะมีระยะเวลาเบิกจ่ายงบประมาณไปถึงเดือนธันวาคม (ต่างจากราชการที่จะสิ้นสุดปีงบประมาณในเดือนกันยายน)
แต่แน่นอนว่า หากการแต่งตั้งล่าช้าก็จะทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณไม่ได้ตาม สคร.ตั้งเกณฑ์ไว้ว่า แต่ละปีจะต้องเบิกจ่ายได้ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 95% ของงบประมาณทั้งหมด โดยมีบอร์ดทำหน้าที่ประเมินผลหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ (SUB PAC)
นอกจากนี้ หากโครงการลงทุนใหม่ที่เป็นโครงการโซลาร์โฟลตติ้งใน 3 เขื่อนไม่ได้ตามเป้าหมาย ผลเสียจะไม่ได้ตกอยู่ที่ กฟผ.ตกเกณฑ์ KPI ด้านการใช้เงินลงทุนเท่านั้น แต่ประเทศไทยอาจจะเสี่ยงต่อการที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการตั้งความเป็นทางกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) 2050 และการปลดปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้ในปี 2065 ตามที่ได้ประกาศไว้ก็ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ประเมินว่า จะสามารถเสนอรายชื่อ