คำแนะนำจาก IMF ถึงรัฐบาลไทยและ ธปท. นโยบายแบบไหนควร-ไม่ควรทำ 

IMF เศรษฐกิจไทย

เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) เผยแพร่ผลการประชุมติดตามและประเมินภาวะเศรษฐกิจไทย (Article IV Consultation) 

ในข้อมูลที่ IMF เผยแพร่มีทั้งคาดการณ์เศรษฐกิจไทย มีคำเตือนถึงความเสี่ยง และคำแนะนำมากมายต่อรัฐบาลไทยที่บริหารประเทศและบริหารนโยบายการคลัง กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่บริหารนโยบายการเงิน ดังต่อไปนี้ 

เศรษฐกิจไทยสูญเสียโมเมนตัมการฟื้นตัว

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยกำลังสูญเสียโมเมนตัม ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 2.6 ในปี 2565 แต่การเติบโตชะลอตัวลงเป็นร้อยละ 1.9 ในไตรมาสที่ 1-3 ของปี 2566 เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับอุปสรรคจากอุปสงค์ภายนอกและการลงทุนในประเทศที่อ่อนแอ แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปยังแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวก็ตาม

อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในเดือนพฤศจิกายน 2566 เนื่องจากผลกระทบพื้นฐานของราคาพลังงานและอาหาร นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการขยายเวลาการอุดหนุนราคาพลังงาน 

ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงในปี 2565 สะท้อนถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นและอุปสงค์ภายนอกที่ชะลอตัวลง ณ เดือนกันยายน 2565 ดุลบัญชีเดินสะพัดมีการเกินดุลเล็กน้อย โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว ต้นทุนการขนส่งที่ลดลง และการนำเข้าที่ลดลงมากกว่าการลดลงของการส่งออก 

คาดการณ์จีดีพี 2566-2567 

การฟื้นตัวในปี 2566 คาดว่าจะยังคงไม่สดใส ก่อนจะเร่งตัวขึ้นในปี 2567 โดยคาดว่าจีดีพีที่แท้จริง (หักอัตราเงินเฟ้อ) จะเติบโตร้อยละ 2.5 ในปี 2566 โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออก บริการ และการบริโภคภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปที่เร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2566 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.3 

การเติบโตของเศรษฐกิจคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงสั้น ๆ ในปี 2567 เนื่องจากอุปสงค์ภายนอกที่ดีขึ้น และการเติบโตที่แข็งแกร่งของการบริโภคภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการคลังของรัฐบาล

จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 2567 แต่ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย 

ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลเล็กน้อยในปี 2566 และเพิ่มขึ้นอีกในปี 2567 เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของรายรับจากการท่องเที่ยวและต้นทุนการขนส่งสินค้าที่ลดลงช่วยชดเชยผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของการส่งออกสินค้า

เศรษฐกิจไทย

เตือนระวังความเสี่ยงจากภายนอก 

ความเสี่ยงด้านลบทั้งภายในและภายนอก มีอิทธิพลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงภายนอก ซึ่งรวมถึงการชะลอตัวอย่างกะทันหันทั่วโลก รวมถึงในจีน การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ภาวะทางการเงินทั่วโลกที่เข้มงวดกว่าที่คาดไว้ และการแยกส่วนของภูมิศาสตร์เศรษฐกิจโลก (Geoeconomic fragmentation) ที่แตกแยกลึกยิ่งขึ้น 

ความเสี่ยงภายในประเทศเพิ่มความไม่แน่นอน เนื่องจากการขาดวินัยทางการคลังอาจบ่อนทำลายเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค หนี้ภาคเอกชนที่สูงขึ้นเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงิน และการพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงของประเทศไทยต่อผลกระทบจากภายนอก

แนะรัฐปฏิรูปโครงสร้าง-มุ่งเป้าลดหนี้สาธารณะ-เก็บรายได้มากขึ้น

คณะกรรมการบริหารแสดงความยินดีกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤตเศรษฐกิจ และชื่นชมหน่วยงานที่รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของไทยยังช้ากว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน และแนวโน้มยังคงไม่แน่นอน โดยความเสี่ยงเอียงไปทางขาลง 

ด้วยพื้นที่ทางการคลังที่มีจำกัด และจุดอ่อนทางโครงสร้างที่มีมายาวนาน กรรมการบริหาร IMF จึงสนับสนุนให้ปรับนโยบายให้เป็นปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขณะเดียวกัน ก็ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างอย่างเข้มข้นเพื่อเพิ่มผลิตภาพและการเติบโตอย่างมีศักยภาพ และสร้างความพร้อมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

กรรมการบริหาร IMF รับทราบถึงมาตรการทางนโยบายระยะสั้นของทางการไทยที่ประกาศไว้ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังถือเป็นจุดยืนทางการคลังแบบเป็นกลาง (Neutral Fiscal Stance) โดยมุ่งเป้าและสนับสนุนกลุ่มเปราะบางอย่างยั่งยืน ผ่านโครงข่ายรองรับทางสังคมที่เพิ่มขึ้น และความก้าวหน้ามากขึ้นของระบบภาษี ซึ่งเหมาะสมกว่าในการที่จะบรรลุเป้าหมายการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ 

คณะกรรมการเห็นพ้องกันว่า ยุทธศาสตร์การคลังในระยะกลางควรมุ่งเป้าไปที่การทำให้หนี้สาธารณะลดลง ขณะเดียวกัน ก็เหลือพื้นที่ทางการคลังไว้สำหรับการลงทุนในทุนมนุษย์และทุนกายภาพ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากรัฐวิสาหกิจและกองทุนนอกงบประมาณ 

การจัดเก็บรายได้ให้ได้เพิ่มขึ้น โดยค่อย ๆ เพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงการยกเลิกการอุดหนุนราคาพลังงานที่มีราคาแพง ควรเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำเป็นอันดับแรก ๆ 

นอกจากนั้น คณะกรรมการสนับสนุนให้ทางการไทยดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลิตภาพ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการขจัดกฎระเบียบที่มีมากเกินไป ยกระดับทักษะกำลังแรงงาน และปฏิรูประบบการคุ้มครองทางสังคม การจัดการความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

แนะ ธปท.เลิกใช้มาตรการพักชำระหนี้

คณะกรรมการเห็นพ้องกันว่า จุดยืนนโยบายการเงินระดับกลางของธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงมีความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายควรเตรียมพร้อมในกรณีที่ความเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อทั้งจากภายในประเทศหรือภายนอกเกิดขึ้นจริง นอกจากนั้น กรรมการยินดีกับการยกเลิกการแทรกแซงทางนโยบายในภาคการเงิน 

คณะกรรมการ IMF สนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อลดหนี้ภาคเอกชนและภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น โดยการอำนวยความสะดวกในการปรับโครงสร้าง ส่งเสริมการให้กู้และการกู้ยืมอย่างมีความรับผิดชอบ และเสริมสร้างกรอบการทำงานที่นำมาใช้เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงเชิงระบบ แทนที่จะพึ่งพา “การพักชำระหนี้” ที่อาจก่อให้เกิดปัญหา Moral Hazard (การสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้หยุดชำระหนี้) ส่วนความพยายามในการเสริมสร้างกรอบการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ก็ควรดำเนินต่อไป  

คณะกรรมการ IMF ย้ำว่า อัตราแลกเปลี่ยนควรทำหน้าที่เป็น Shock Absorber (ตัวรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ) ต่อไป และการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศควรจำกัดอยู่เพียงเพื่อจัดการกับสภาวะตลาดที่ไม่สงบ และป้องกันการผันผวนมากเกินไปในการป้องกันความเสี่ยงและเบี้ยประกันทางการเงินอันเนื่องมาจาก Non-Fundamental Shock เป็นสำคัญ