จดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่เดือน พ.ค. ลดลง 29% นักธุรกิจยังรอความชัดเจนจากรัฐ

กรมพัฒฯ เผยการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ พ.ค. 2563 ลดลง 29% หลักมาจากภาคธุรกิจรอความชัดเจนจากระยะภาครัฐ ถึงการช่วยเหลือและมาตรการผ่อนคลายต่างๆ มั่นใจหลังจากนี้จะดีขึ้น

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนพฤษภาคม 2563 พบว่า ธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีจำนวน 4,195 ราย ลดลง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีจำนวน 5,942 ราย ขณะที่ ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า ส่งผลให้การจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม 2563) มีจำนวน 27,606 ราย ลดลง 15% เป็นผลมาจากธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อดูผลจากมาตรการปลดล็อกกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐในแต่ละระยะ รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมผู้ประกอบการ ให้สามารถดาเนินธุรกิจได้ตามปกติทั้งในด้านการเงินและด้านฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ รวมไปถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศคาดว่าจะช่วยพยุงให้ไตรมาส 4 กลับมาดีขึ้น โดยจะตรงกับ ช่วงไฮซีซั่นของประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลากหลายประเภททั้งเล็กใหญ่ตลอดจนพยุงการจ้างงานจานวนมาก อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และกิจกรรมสันทนาการ อย่างไรก็ดี การจัดตั้งธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 คาดว่ามีแนวโน้มดีขึ้นตามลาดับจากการสนับสนุน ทั้งด้านภายในและภาคนอกประเทศที่จะทยอยให้ธุรกิจได้รับรู้ รวมทั้งคาดว่าดัชนี ความเชื่อมั่นทางธุรกิจและผู้บริโภคจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลกระทบในเชิงลบ (Negative Market Sentiment) ครบทุกด้านแล้วเป็นระยะเวลานานแล้ว

ขณะที่ ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนพฤษภาคม 2563 จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนพฤษภาคม 2563 มีจำนวน 905 ราย ลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีจำนวน 1,130 รายซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจัดการ

ปัจจุบันธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนพฤษภาคม 2563 ทั่วประเทศ จำนวน768,371 ราย จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 188,350 ราย บริษัทจำกัด จำนวน 578,755 ราย และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,266 ราย

ส่วนการลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว เดือนพฤษภาคม2563 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 45 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 20 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 25 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 11,314 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2563 จำนวน 5,062 ล้านบาท เนื่องด้วยมีนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI หรือประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนจดทะเบียนสูง โดยเป็นการประกอบธุรกิจสนับสนุนบริษัทในเครือ/ในกลุ่มที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปิโตรเคมี และกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-COMMERCE) โดยเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มกลางสำหรับจำหน่ายเครื่องจักรอุตสาหกรรม เป็นต้น

นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 6 ราย เงินลงทุน 122 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ จำนวน 4 ราย เงินลงทุน 62 ล้านบาท และฮ่องกง จำนวน 2 ราย เงินลงทุน 28 ล้านบาท