“ประวิตร” ไฟเขียวแผนน้ำ ปี’64 กว่าแสนล้านบาท 27,000 โครงการ

วันที่ 22 กรกฎาคม  2563 เวลา 09.30 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 2/2563 ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ เป็นต้น

การประชุม กนช.ครั้งนี้ เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการทั้ง 7 คณะภายใต้ กนช. ซึ่งบูรณาการหน่วยงานขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ภายใต้แผนแม่บทน้ำฯ 20 ปี (ปี 2561 – 2580) ติดตามสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและเตรียมการรองรับฤดูฝน ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานผลการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ น้ำที่ผ่านมาให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบด้วย

สำหรับประเด็นสำคัญ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำปี 2564 ตามร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ปี พ.ศ. 2564 โดยแยกตามมิติงบประมาณ 3 ด้าน คือ ภารกิจพื้นฐาน (Function) ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ (Agenda) และภารกิจพื้นที่ ท้องถิ่น ภูมิภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด (Area) ดำเนินการโดย 30 หน่วยงาน 10 กระทรวง มีโครงการด้านน้ำทั้งประเทศรวม 27,275 โครงการ และแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่อให้หน่วยงานนำไปปฏิบัติในการจัดทำแผนงานและจัดทำคำของบประมาณในแต่ละปีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายแผนแม่บทน้ำฯ ทั้ง 6 ด้านโดยเร็ว รวมทั้งให้ความเห็นชอบแผนงานโครงการจัดหาน้ำต้นทุนและแผนปฏิบัติการ ปี 2563 – 2566 จังหวัดภูเก็ต โดยแผนระยะสั้นดำเนินการใน 3 โครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่ที่เกิดเป็นประจำทุกปีอย่างเร่งด่วน

ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ โครงการบำบัดน้ำเสียมาผลิตน้ำประปา และโครงการระบบสูบผันน้ำ บ้านโคกโตนด – อ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ พร้อมเห็นชอบในหลักการแผนบูรณาการอุตุนิยมวิทยาเขตร้อน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์อากาศและภูมิอากาศ ซึ่งจะส่งผลทำให้การพยากรณ์อากาศมีความถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยในระยะสั้นมีความแม่นยำมากกว่า 90% ระยะปานกลางมากกว่า 80% และระยะนานมากกว่า 70% รวมทั้งยังให้ความเห็นชอบการจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำทั้งระบบด้วย

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังให้ความเห็นชอบทบทวนเป้าหมายขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ดำเนินการได้ภายในปี 2566 รวม 557 โครงการ ทั้งนี้ มอบหมายให้หน่วยงานนำโครงการที่มีความจำเป็นเป็นกรอบในการจัดทำแผนงานโครงการเข้าสู่กระบวนการขอรับงบประมาณต่อไป นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้มีการปรับปรุงเร่งรัดแผนงานก่อสร้าง 14 โครงการสำคัญ ภายใต้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ปี 2563 – 2580) อาทิ โครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล แผนเริ่มก่อสร้าง ปี 2565-2566 โครงการพัฒนากลุ่มบ่อน้ำบาดาลสำหรับอุตสาหกรรม แผนเริ่ม ปี 2564-2565 โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ เครือข่ายผันน้ำ และการเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำเดิม เป็นต้น โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา EEC ที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล

“การพัฒนาแหล่งน้ำและแก้ไขปัญหาด้านน้ำเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ดังนั้น ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันขับเคลื่อนให้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเกิดเป็นรูปธรรม โครงการใดเมื่อได้รับงบประมาณไปแล้ว ต้องเร่งดำเนินการและติดตามให้เกิดผลสัมฤทธิ์ให้ได้ หากโครงการใดติดปัญหาต้องเร่งหาสาเหตุ พร้อมร่วมกันหาแนวทางขับเคลื่อนให้ได้โดยเร็วเพื่อประโยชน์กับประชาชน รวมถึงให้มีการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ในฤดูฝนนี้ ช่วง ส.ค. – ก.ย. หากเกิดเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ต้องเร่งแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพยสินของประชาชน” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาแหล่งน้ำของประเทศเกิดความครอบคลุมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น รวมถึงลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานเชิงพื้นที่ช่วงรอยต่อในการออกฏหมายลูกภายใต้ พรบ.น้ำฯ ที่ประชุมจึงได้ให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพิ่มเติมอีก 3 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการจัดทำร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อกำหนดขอบเขต บทบาท ภารกิจ หน้าที่และอำนาจของหน่วยงานด้านการบริหารทรัพยากรน้ำของประเทศ 2.คณะอนุกรรมการกำหนดรูปแบบและแนวทางการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนอง และ 3.คณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

“เราได้แต่งตั้งคณะทำงานบริหารจัดการน้ำเพิ่มเติมให้แต่ละจังหวัดแก้ไขทันการณ์ และให้หน่วยงานก่อสร้างแหล่งน้ำที่ได้รับงบไปต้องเร่งรัดงานคั่งค้างที่ยังไม่ก่อหนี้ผูกพัน ซึ่งพบว่ายังมี31% ค้างกว่าหมื่นกว่าล้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของกรมชลประทาน ที่นอกเหนืออีกส่วน6หมื่นล้านเป็นงบปกติของกรมชลประทาน ให้รายงานทุกๆ2เดือน ต้องเร่งงานให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบันโดยเฉพาะแผนจัดสรรน้ำ ผันน้ำข้ามลุ่มน้ำเน้นให้แต่ละจังหวัดทำงานให้รัดกุม ทันต่อสถานการณ์ รวมไปถึงการทำงานแผนงานขับเคลื่อนของกรมอุตุนิยม วิเคราะห์น้ำจากสภาพอากาศ งบ 2,500 ล้านบาทไปปรับแผนให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น”

รายงานข่าวระบุว่า แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำปี 2564 ตามร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ปี พ.ศ. 2564 โดยแยกตามมิติงบประมาณ 3 ด้าน คือ ภารกิจพื้นฐาน (Function) ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ (Agenda) และภารกิจพื้นที่ ท้องถิ่น ภูมิภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด (Area) ดำเนินการโดย 30 หน่วยงาน 10 กระทรวง มีโครงการด้านน้ำทั้งประเทศรวม 27,275 โครงการ ดังกล่าว คาดว่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท

สำหรับ รายงานสถานการณ์น้ำขณะนี้ จากการคาดการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยา ว่าในช่วง 7 วัน ปริมาณฝนจะลดลง และจะมีฝนเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วง‪วันที่ 20-22 ก.ค.‬ 63 โดยจะมีฝนตกกระจายเกือบทุกภูมิภาค และมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ พร้อมกันนี้ กอนช.ได้คาดการณ์ปริมาตรน้ำไหลลงแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่ง ทั่วประเทศ 3 วันล่วงหน้า จะมีน้ำไหลลงแหล่งน้ำทั่วประเทศ รวมจำนวน 165 ล้าน ลบ.ม. โดยจะมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสิริกิติ์มากที่สุด จำนวน 44 ล้าน ลบ.ม.

นอกจากนี้ สถานการณ์เพาะปลูกพืชในเขตลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งในปัจจุบันมีปริมาณพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึง 3.81 แสนไร่ ในขณะที่ปริมาณน้ำทั้งใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้อยมากและไม่สามารถสนับสนุนพื้นที่เพาะปลูกในเขตลุ่มเจ้าพระยาได้ ทั้งนี้ กอนช. ได้ปรับแนวทางการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

โดยการปรับลดการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาจาก 70 ลบ.ม. ต่อวินาทีเหลือ 60 ลบ.ม. ต่อวินาที เพื่อควบคุมระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งส่งผลให้สามารถนำน้ำเข้าระบบชลประทานฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือด้านน้ำอุปโภค-บริโภคแก่ประชาชน และน้ำด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรที่ได้เริ่มเพาะปลูกไปแล้ว ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การขาดแคลนน้ำในขณะนี้ นอกจากนี้ ได้ประสานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงสร้างความเข้าใจแก่เกษตรกร ให้เริ่มทำการเพาะปลูกได้ตั้งแต่หลังช่วงวันที่ 15 ก.ค. 63 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น และเกษตรกรต้องตัดสินใจทำการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำฝน เนื่องจากจะไม่มีการระบายน้ำจากเขื่อนเพิ่มเพื่อการเพาะปลูก เพราะจำเป็นจะต้องกักเก็บน้ำฝนไว้ให้มากที่สุดเพื่อใช้สำหรับฤดูแล้งหน้า