“โควิด-บาทแข็ง” ฉุดรายได้ “บ้านปู” ครึ่งปีแรก ขาดทุน 801 ล้าน

โรงไฟฟ้าพลังงานลม

พิษ “โควิด-บาทแข็ง” ฉุดรายได้ “บ้านปู” ปิดครึ่งปีแรก 2563 ขาดทุน 801.70 ล้านบาท หั่นค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น 20% รักษากระแสเงินสด เร่งปิดดีลซื้อแหล่งก๊าซธรรมชาติแหล่งใหม่ได้เร็วขึ้น พร้อมซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม ลุยพัฒนาสินค้าและบริการจากกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท บ้านปูฯ มีรายได้จากการขายในครึ่งปีแรกของปี 2563 รวม 1,151 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 36,334.10 ล้านบาท) โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 235.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7,286.95 ล้านบาท) ขาดทุนสุทธิ 23 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 801.70 ล้านบาท)

สาเหตุหลักมาจากราคาเชื้อเพลิงที่อ่อนตัวลงประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ยังมีรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการเปลี่ยนสภาพสัดส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด BKV Oil & Gas Capital Partners, L.P. เป็นผู้ถือหุ้นใน BKV Corporation ซึ่งได้จดทะเบียนจัดตั้งในวันที่ 1 พฤษภาคม 2563

ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างดังกล่าว ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารงานกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปูฯ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถรองรับกับการสร้างการเติบโตในอนาคต โดยรายการดังกล่าวเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด จึงไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด และการจ่ายปันผลของบ้านปูฯ แต่อย่างใด

“แม้มีความท้าทายจากผลกระทบของโควิด-19 บริษัทพยายามทุกวิถีทางในการสร้างการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจไปพร้อม ๆ กัน โดยได้ดำเนินมาตรการระยะสั้นที่มีประสิทธิภาพและหลากหลาย เช่น ปรับลดค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ และบริษัทในเครือ 20% การชะลอการลงทุนธุรกิจใหม่ที่เสี่ยงสูง เน้นธุรกิจในประเทศที่มีโอกาสสูงและเสี่ยงต่ำ เน้นสัญญาที่มีประกันราคาขายเพื่อลดความเสี่ยง”

โดยได้เข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเอลวินหมุยยิน (El Wind Mui Dinh) ในประเทศเวียดนาม มูลค่าการลงทุนจำนวน 66 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,038.74 ล้านบาท) โดยเป็นโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว จึงช่วยเพิ่มรายได้และกระแสเงินสดจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียนให้กับบริษัทฯ ได้ภายในปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเข้าซื้อกิจการแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ (Barnett) ในสหรัฐ ที่ปรับเปลี่ยนวันปิดรายการจากภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปูฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บ้านปูฯ สามารถรับรู้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของแหล่งบาร์เนตต์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. หรือเร็วขึ้น 1 ไตรมาส

สำหรับ ภาพรวมของการประกอบการของกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงานในครึ่งปีแรกของปี 2563 นอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนวันปิดรายการซื้อในสัญญาซื้อขายแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการบริหารกระแสเงินสดแล้ว บริษัทฯยังดำเนินมาตรการลดรายจ่ายในการลงทุน (CAPEX) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง

เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้เชื้อเพลิงที่ลดลงในภาคอุตสาหกรรมในช่วงโควิด-19 ทำให้มีอุปทานในตลาดสูงและราคาขายเฉลี่ย (Average Selling Price: ASP) ของถ่านหินลดลง

อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่า แนวโน้มในครึ่งปีหลังจะกลับมาดีขึ้นในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว หลังจากเศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัว ขณะเดียวกัน บ้านปูฯ ได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตในธุรกิจถ่านหินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ยังคงดำเนินงานได้ตามปกติ สามารถสร้างกระแสเงินสดและผลกำไรที่แข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพียังคงเดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากรายงานดัชนีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent Availability Factor: EAF) เต็มร้อยละ 100 ส่วนโรงไฟฟ้าหงสา อยู่ที่ร้อยละ 63

เนื่องจากมีการหยุดเดินเครื่องของหน่วยผลิตที่ 3 ในช่วงระหว่างปลายเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการเดินเครื่องในระยะยาว หลังพบความผิดปกติของบางอุปกรณ์ในเครื่องจักร

โดยปัจจุบันโรงไฟฟ้าหงสาหน่วยผลิตที่ 3 ได้กลับมาเดินเครื่องอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศจีนและญี่ปุ่น สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพ รวมถึงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวงในจีนนั้น ก็มีการดำเนินงานคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 83 และคาดว่าจะแล้วเสร็จตามกำหนด พร้อมสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

สำหรับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ยังคงดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และยังมีการขยายพอร์ตเทคโนโลยีพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกภาคส่วน รวมทั้งยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่สะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในทุกประเทศที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจ

โดยมีธุรกิจระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเป็นธุรกิจหลักที่ช่วยสร้างรายได้ ด้วยกำลังการผลิตที่ 172 เมกะวัตต์ และมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่อง  รวมถึงการคิดค้นและให้บริการโซลูชันด้านเทคโนโลยีพลังงานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น  การเปิดเส้นทางใหม่บริการรถตุ๊กตุ๊กพลังงานไฟฟ้า MuvMi เพิ่มเติม การเปิดตัวอีเฟอร์รี่เรือท่องเที่ยวไฟฟ้าทางทะเลลำแรกของไทยเมื่อเร็วๆ นี้

รถตุ๊กตุ๊กพลังงานไฟฟ้า

อนึ่ง ท่ามกลางความท้าทายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 บ้านปูฯ ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักกลยุทธ์ Greener & Smarter และเทรนด์ 3Ds ซึ่งการกระจายตัวการผลิตและจำหน่ายพลังงานแบบไม่รวมศูนย์ (Decentralization) การใช้พลังงานที่ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) และการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล (Digitalization)

อีเฟอร์รี่-เรือท่องเที่ยวไฟฟ้า