ดีเอสไอสอบพยานคดีถุงมือยาง อคส. ไปแล้ว 5 ปาก ลุ้นผลชี้มูล “รักษาการ ผอ.”

เกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต
เกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต

อคส.เผยคดีซื้อถุงมือยาง 1.1 แสนล้านบาท ดีเอสไออยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลและสืบพยานแล้ว 5 ราย ก่อนชี้มูลมีการกระทำผิดจริงหรือไม่ ก่อนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเดินหน้าทางกฎหมายต่อไป พร้อม อคส. ตั้งทีมกฎหมาย คณะทำงานปฏิรูปองค์กรเต็มที่

นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวถึงความคืบหน้ากณี อคส.ได้มีการทำสัญญาตกลงซื้อขายถุงมือยาง โดยมีพ.ต.อ. รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ลงนามซื้อ-ขายกับบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ปริมาณ 500 ล้านกล่อง โดยจำหน่ายกล่องละ 225 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งมีการลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายไปเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 และได้ยื่นเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (อีเอสไอ) เพื่อทำการชี้มูลว่ามีการกระทำผิดจริงหรือไม่ ก่อนที่ อคส.จะดำเนินการทางต่อไป

ทั้งนี้ ดีเอสไอ ได้มีการสืบพยานเจ้าหน้าที่ อคส.รวม 5 ปากโดยมีเจ้าหน้าที่ อคส. 4 ราย และ ผอ.อคส. เข้าไปให้ปากคำ โดยจากนี้ ดีเอสไอ จะมีการเรียกเจ้าหน้าที่ อคส. หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปให้ปากคำเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ขึ้นอยู่กับการสืบสวนสอบสวนของ ดีเอสไอ ซึ่ง อคส. พร้อมให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ ซึ่ง ดีเอสไอ ให้ความสำคัญกับคดีนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีพิเศษที่เข้าข่ายที่ต้องตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยเร็ว

“อคส.ยังยื่นเรื่องให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อที่จะดำเนินสืบทรัพย์ เส้นทางทางการเงิน การอายัดเงิน ที่มีการดำเนินการเบิกจ่ายไปแล้วเพื่อเป็นค่ามัดจำ 2,000 ล้านบาท รวมไปถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ อคส. ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้”

แต่อย่างไรก็ดี ก่อนที่ ปปง. และป.ป.ช. จะดำเนินการอย่างไรต่อไป รวมถึงการดำเนินตามขั้นตอนของ อคส. ด้วยนั้น ต้องรอให้ทาง ดีเอสไอ ชี้มูลถึงกรณีดังกล่าวก่อนว่ามีความผิดจริงหรือไม่ และหากมีการชี้มูลชัดเจนแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อว่าก็จะดำเนินการตามขั้นตอนในทันที รวมถึง อคส. ซึ่งขณะนี้ ได้เตรียมการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงรอ ดีเอสไอ ชี้มูลเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ก็มีการตั้งทีมกฎหมายขึ้นมาดูแลเรื่องนี้แล้ว

พร้อมทั้งประสานไปยัง สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาในการตั้งทีมกฎหมายเพื่อติดตามกรณีดังกล่าวด้วย ซึ่งทางอัยการได้ให้ความกรุณาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนรายละเอียดถึงขั้นตอน การทำงาน หรือต้องดำเนินการอย่างไร หลัง ดีเอสไอ ชี้มูลมาแล้วนั้น ยังตอบไม่ได้เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนของคดี แต่ อคส. มีความพร้อมมากในเรื่องนี้ เพราะเกิดความเสียหายแล้ว ก็ต้องดำเนินการอย่างเต็มที่

“เงินจะได้กลับมาหมดไหมเป็นเรื่องของอนาคต และจะชนะคดีนี้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาและดุลยพินิจของศาล ซึ่งบอกไม่ได้”

อย่างไรก็ดี ระหว่างที่ดำเนินการทางกฎหมายในเรื่องนี้ ทำให้ อคส. เห็นว่าการดำเนินงานบางอย่าง กฎระเบียบ ขั้นตอนทางราชการของ อคส. ไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่และการทำงานของ องค์กร เท่าไร ดังนั้น อคส. จึงได้พิจารณาให้มีการตั้งคณะทำงานปฏิรูประเบียบ ของ อคส. เพื่อให้มีการทำงานของ อคส. สอดค้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด เนื่องจากกฎเรียบบางอย่างไม่สอดคล้องเลย เช่น การแก้ไขวงเงินในการอนุมัติซื้อ-ขาย หรือการทำโครงการ การค้า-ขายออนไลน์ เพื่อให้การทำงานคล่องมากขึ้น

อีกทั้ง เร่งดำเนินการแก้ไขระบบไอที การทำงานของระบบ RFID เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้การทำงานในองค์กรมีการประสานงานได้รวดเร็วและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมไปถึงการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อ รีแบรนด์ อคส. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้องค์กร เจ้าหน้า ถึงการทำงานที่ตรงไปตางมา โปร่งใส
ทั้งนี้ ภายหลังจากการประชุม บอร์ด อคส. เมื่อวันที่ 25 ก.ย.63 มีมติให้อคส.ระงับดำเนินการตามสัญญาซื้อขายถุงมือยาง 8 สัญญา แบ่งเป็นสัญญาซื้อถุงมือยางจากการ์เดียน โกลฟส์ และสัญญาขายให้กับผู้ซื้อ 7 ราย ทั้งที่เป็นบริษัทไทย และต่างประเทศนั้น ผู้ซื้อบางรายได้ทำหนังสือสอบถามอคส.เพื่อรับมอบถุงมือยาง ขณะที่การ์เดียนโกลฟส์ ทำหนังสือเพื่อขอขยายเวลาส่งมอบสินค้า