พาณิชย์ชี้โอกาส “เส้นใยกัญชง” สินค้าส่งออกมาแรง คาดมูลค่าตลาดปี’67 ทะลุ 1.04 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ด้านสถาบันสิ่งทอ เผยมีผู้ผลิตแค่ 10 ราย จี้เร่งพัฒนาผู้ประกอบการ-สินค้า-ทดลองตลาด ก่อนลงทุน
นางนิศาบุษป์ วีรบุตร ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากรายงานสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ทั่วโลกที่ได้ติดตามประเมินสถานการณ์ตลาดกัญชงและกัญชาในต่างประเทศ พบว่า ประเทศที่เปิดเสรีทางการค้ามีจำนวนมาก เช่น แคนาดา อุรุกวัย จอเจีย แอฟริกาใต้ ยุโรป
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
แต่ทั้งนี้ยังมีกฎหมายและกฎระเบียบที่เข้มงวด ที่ยังไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการทำการตลาด หรือจัดทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่ากฎหมายกำหนด หรือกำหนดให้ส่งออกได้เฉพาะในบางรายการสินค้ากรณียกเว้นหากใช้ในกลุ่มงานวิจัย ผลิตในบางอุตสาหกรรมหรืองานทางการแพทย์ ก็จะอนุญาตให้มีการนำเข้า ส่งออกสารสกัดที่ได้จากกัญชง กัญชาได้
“สิ่งที่น่าจับตาและเป็นโอกาสทางการค้า คือ เส้นใยกัญชง ซึ่งมีการวิเคราะห์ไว้ว่ามูลค่าตลาดในปี 2567 คาดว่าจะสูงถึง 1.04 แสนล้านเหรียญสหรัฐโดยปัจจุบันตลาดที่ครองส่วนแบ่งตลาดเส้นใยกัญชงมากสุด คือ ยุโรป สัดส่วนประมาณ 37.6% รองลงมา คือ สหรัฐ 36.5% ซึ่งประเทศที่มีพื้นที่การเพาะปลูกเส้นใยกัญชงมากที่สุด เช่น จีน แคนาดา สหรัฐ ขณะที่ประเทศที่ใช้เส้นใยกัญชงในการผลิตสินค้า ฉนวนกันความร้อน ผนังกันเสียง เป็นต้น เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ส่วนประเทศที่ผลิตเส้นใยกัญชงและส่งออกไปต่างประเทศ เช่น จีน ฝรั่งเศส เกาหลีเหนือ”
นางนิศาบุษป์กล่าวว่า ตลาดเส้นใยกัญชงในต่างประเทศมีโอกาสเติบโตอย่างมาก ยังเป็นที่ต้องการของตลาดนำเข้า มีผู้ผลิตและผู้ส่งออกที่ชัดเจน ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการส่งเสริมการเพาะปลูก แต่ยังไม่ได้ชัดเจนในการส่งเสริมเพาะปลูกต้นกัญชงที่ให้เส้นใยกับสารสกัด เนื่องจากพันธุ์ วิธีการระยะเวลาการเพาะปลูกต่างกัน จะเห็นได้ว่าหากปลูกเพื่อใช้ผลิตเส้นใยกัญชงนั้นใช้ระยะเวลา 90 วัน น้อยกว่ากัญชงที่ผลิตเพื่อเอาสารสกัดซึ่งใช้เวลา 180 วัน
ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นที่ต้องส่งเสริมและเพิ่มโอกาสให้ชัดเจน เพราะเชื่อว่าอนาคตเทรนด์สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นที่ต้องการมากในอนาคต ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมความพร้อมให้มาก
เพราะมีผู้ประกอบการไทยเพียง 10 รายที่ผลิตสินค้าจากเส้นใยกัญชงและส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชนผลิตเพื่อขายในประเทศให้กับนักท่องเที่ยว และยังต้องนำเข้าวัตถุดิบเส้นใยกัญชง
ในส่วนของตลาดกัญชานั้น แม้บางประเทศจะเปิดให้ทำการค้าเป็นส่วนผสมของสินค้าในกลุ่มอาหาร ขนม แต่ยังตามมาด้วยเรื่องของกฎหมายและกฎระเบียบที่มีความเข้มงวด
ทั้งยังทำการค้าข้ามประเทศไม่ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของส่วนผสมของสารสกัดที่ได้จากกัญชาซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ THC และ CBD โดยมีคุณสมบัติที่ต่างกัน ผลดีผลเสียต่างกัน ดังนั้น จึงมีการกำหนดปริมาณของสารสกัดไว้ในปริมาณมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด เช่น บางประเทศกำหนดว่าจะต้องมีสารสกัดนี้ไม่เกิน 0.3-0.5% เป็นต้น
“จะเห็นว่าแต่ละประเทศก็มีการกำหนดมาตรฐาน กฎระเบียบที่ไม่เหมือนกัน ว่าปริมาณสารสกัดที่ได้จำเป็นต้องมีปริมาณเท่าไร และยังจำกัดห้ามไม่ให้มีการประชาสัมพันธ์ หรือโปรโมตสินค้าหรือขายให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการทำตลาดกัญชายังจำกัดจำหน่ายภายในประเทศนั้น ๆ ยังไม่มีการจำหน่ายออกไปต่างประเทศ หรือมีการนำเข้ามาอย่างเสรี แต่จะยกเว้นกรณีที่นำเข้าเพื่องานวิจัย งานทางด้านการแพทย์หรือต้องขออนุญาตอย่างเป็นทางการเท่านั้น ดังนั้น โอกาสที่จะเห็นได้ดีจึงอยู่ในตลาดเส้นใยกัญชงมากกว่า”
นายปิลันธน์ ธรรมมงคล กรรมการ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยที่ใช้เส้นใยกัญชงเพื่อผลิตสินค้าเครื่องนุ่งห่ม มีเพียง 10 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือเป็นหลัก ขายภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่และจะนำเข้าผ้าผืนจากเส้นใยกัญชงจากจีน เวียดนาม และ สปป.ลาว มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำเองตั้งแต่ต้นโดยการผลิตเส้นใยและทอผ้าด้วยมือ ส่วนใหญ่จะผลิตเป็นสินค้าโอท็อป
“ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องศึกษาตลาดก่อน หากจะดำเนินการผลิตลงทุนเพื่อการส่งออกนั้นอาจเร็วไป เพราะตลาดยังเล็กและส่วนใหญ่เส้นใยกัญชงไทยยังต้องนำเข้า การทอผ้าก็ยังต้องใช้มือ ยังเป็นสินค้าในรูปแบบโอท็อปอยู่ ยังไม่มีโรงงานสิ่งทอที่ใช้เส้นใยกัญชงผลิตแต่อย่างไร ดังนั้น ต้องทำตลาดก่อนให้มีลูกค้า มีความต้องการที่ชัดเจนถึงความจำเป็นที่จะลงทุนเครื่องจักรเพื่อการผลิต และหากจะดำเนินการส่งเสริมจำเป็นต้องพัฒนาและส่งเสริมตั้งแต่การเพาะปลูก”