สนค. แนะเอกชนเน้นลงทุนตามเมกะเทรนด์โลก ดันส่งออกสร้างรายได้

สนค. วิเคราะห์ความสามารถในการส่งออกสินค้าของไทยในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา พบว่าสินค้าส่วนใหญ่ยังเติบโตตามกระแสตลาดโลก แนะภาคเอกชนเน้นการลงทุนตามเมกะเทรนด์ จะเป็นแรงเสริมให้การค้าไทยเติบโต

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยผลการวิเคราะห์ผ่านดัชนีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Reveal Comparative Advantage Index-RCA) ร่วมกับอัตราการขยายตัวของการส่งออกของโลกและของไทย พบว่าช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความสามารถในการส่งออกของสินค้าไทยในตลาดโลก ได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันระหว่างประเทศที่รุนแรงทำให้การค้าชะลอตัว

รณรงค์ พูลพิพัฒน์
รณรงค์ พูลพิพัฒน์

อย่างไรก็ดี ในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่หลังโควิด-19 เริ่มเห็นโอกาสในบางสินค้าของไทยที่เติบโตมากขึ้น เข้ามาทดแทนสินค้าเดิมที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยสินค้าที่ไทยมีความสามารถในการส่งออกและเติบโตตามความต้องการของโลก

อาทิ เครื่องจักรและส่วนประกอบ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เนื้อสัตว์ปรุงแต่ง ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ อาหารปรุงแต่ง เครื่องสำอางและเอสเซนเชียลออยล์ อาหารสัตว์ ของปรุงแต่งจากธัญพืช และผลิตภัณฑ์จากธัญพืช เป็นต้น

นอกจากนี้ สนค. ได้วิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตเทียบกับตลาดโลก เพื่อเสนอแนะกลยุทธ์ต่อการส่งออกในสินค้า 4 กลุ่ม ที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ทางการค้าที่แตกต่างกัน ดังนี้

1) กลุ่มเติบโต (โลกขยายตัว และไทยขยายตัว) ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลไฟฟ้าและส่วนประกอบ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีเครื่องประดับและทองคำ พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เนื้อสัตว์ปรุงแต่ง ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ อาหารปรุงแต่ง ผักและผลไม้ปรุงแต่ง เครื่องสำอางและเอสเซนเชียลออยล์ เป็นต้น เป็นกลุ่มที่ไทยควรยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง ไทยได้เปรียบด้านแหล่งวัตถุดิบ ทักษะแรงงาน และตลาดขยายตัวดี

2) กลุ่มสวนกระแส (โลกหดตัว แต่ไทยขยายตัว) ได้แก่ อากาศยาน ยานอวกาศและส่วนประกอบ นาฬิกา ผ้าถักแบบนิตหรือแบบโครเชต์ ปุ๋ย ดีบุกและของที่ทำด้วยดีบุก รถไฟหรือรถรางและส่วนประกอบ เยื่อไม้ ยาสูบ เป็นต้น เป็นสินค้าที่เติบโตท่ามกลางความเสี่ยง การขยายตัวของไทยในสินค้ากลุ่มนี้อาจจะไม่ยั่งยืน เนื่องจากทิศทางความต้องการในตลาดโลกชะลอลง

3) กลุ่มเสียโอกาส (โลกขยายตัว แต่ไทยหดตัว) ได้แก่ ธัญพืช เคมีภัณฑ์อินทรีย์ ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก น้ำตาล ผักและผลไม้ปรุงแต่ง ปลาและสัตว์น้ำ พืชผักที่บริโภคได้ เป็นต้น เป็นสินค้ากลุ่มที่ท้าทาย ที่ไทยควรจะปรับกลยุทธ์เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน ผลักดันเข้าสู่ตลาดที่มีโอกาสเติบโต

4) กลุ่มเฝ้าระวัง (โลกหดตัว และไทยหดตัว) ได้แก่ ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องแต่งกายถักแบบนิตหรือแบบโครเชต์ เรือและสิ่งก่อสร้างลอยน้ำ เส้นใยสั้นประดิษฐ์ เกลือ รองเท้า หนังดิบ (นอกจากหนังเฟอร์) และหนังฟอก เป็นต้น เป็นกลุ่มที่การค้าในตลาดโลกชะลอลงกว่าในอดีต จากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้าโลกที่สำคัญ อาทิ การดิสรัปชั่นของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลก พฤติกรรมการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน กระแสเศรษฐกิจสีเขียว เป็นต้น จึงควรติดตามสถานการณ์และวางแนวทางปรับตัว โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าสูง เพื่อลดผลกระทบจากการลดลงของรายได้ภาคการส่งออก

ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 สินค้าในกลุ่มเติบโตที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันและมีทิศทางเติบโตสอดคล้องกับความต้องการของโลกขยายตัวได้ดี อาทิ เครื่องจักรและส่วนประกอบ ขยายตัว 18.8% ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัว 39.3% พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก ขยายตัว 33.4% ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัว 61.7% ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ขยายตัว 30.6% อาหารปรุงแต่ง ขยายตัว 4.9% เครื่องสำอางและเอสเซนเชียลออยล์ ขยายตัว 2.1% อาหารสัตว์ ขยายตัว 19.4% ของปรุงแต่งจากธัญพืช ขยายตัว 3.7% ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ขยายตัว 38.0% เป็นต้น