รมว.ศึกษาฯเชื่อโรงเรียนไม่ได้มีเจตนาปิดบังข้อมูล กรณีนักเรียนปืนลั่น

ตรีนุช เทียนทอง
นางสาวตรีนุช เทียนทอง

ตรีนุช เชื่อโรงเรียนย่านบางบัวทอง ไม่ได้มีเจตนาปิดบังข้อมูล กรณีนักเรียนพกปืนมาโรงเรียน ลั่นใส่เพื่อนเสียชีวิต

วันที่ 16 กันยายน 2565 จากกรณีการเสียชีวิตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดลาดปลาดุก อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ในห้องคอมพิวเตอร์ วานนี้ (15 ก.ย.) ซึ่งในตอนแรกมีรายงานว่า เกิดจากคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ระเบิดใส่ กระทั่งตำรวจได้สอบสวนเพื่อนนักเรียนจนรับสารภาพว่า พกปืนเข้าไปในห้องคอมพิวเตอร์ และทำลั่นใส่เพื่อน ต่อมาได้แถลงความคืบหน้าโดยยืนยันว่าเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นได้พกปืนมาโรงเรียนและทำปืนลั่นใส่จริง

ล่าสุด มติชนรายงานว่า เมื่อช่วงเวลา 13.30 น.ที่กระทรวงศึกษาธิการ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยนายอัมพร พะนิสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงเรื่องดังกล่าว 

โดยนางสาวตรีนุชกล่าวว่า ศธ.มีความห่วงใยต่อเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ขอรอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะขณะนี้มีข้อมูลเข้ามาหลายทางมาก โดยตนได้มอบหมายให้นายอัมพร พะนิสา ลงพื้นที่โรงเรียนวัดลาดปลาดุก เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมถึงพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) รวมถึงประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น 

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน และคงต้องถอดบทเรียนว่าเราควรจะต้องระมัดระวังเรื่องอะไรบ้างในบริบทต่อไป รวมถึงอาจจะต้องมีมาตรการ หรือแนวทางในการดูแลนักเรียนในสถานศึกษาที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีความเสี่ยง

นางสาวตรีนุชกล่าวต่อว่า “เชื่อว่าโรงเรียนไม่ได้มีเจตนาปิดบังข้อมูลในตอนแรก เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากพูด อยากให้มีข้อมูลชัดเจนก่อน เพื่อไม่ให้ข้อมูลผิดเพี้ยนไปอีก โดยเฉพาะข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อที่จะได้สามารถดำเนินการได้รอบคอบมากขึ้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน รวมถึงได้ขอให้ทาง สพฐ.ลงไปดูแลและเยียวยากับครอบครัวผู้สูญเสียแล้ว”

ต่างโรงเรียน ต่างบริบท เพิ่มมาตรการดูแลกลุ่มเสี่ยง

ส่วนมาตรการป้องกันนักเรียนนำอาวุธเข้ามาในโรงเรียน นางสาวตรีนุชกล่าวยืนยันว่า ศธ.ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในโรงเรียนทุกมิติ เรามีโรงเรียน 3 หมื่นกว่าแห่ง แต่ละโรงเรียนมีบริบทต่างกัน และมีการดูแลเรื่องความปลอดภัยในบริบทของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง อาจต้องมีมาตรการเพิ่มเติมเข้าไปให้เข้มข้นมากขึ้น เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น

ด้านนายอัมพรกล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาแล้วผ่านทางโทรศัพท์ และจะลงพื้นที่ไปดูข้อเท็จจริงด้วยตัวเองอีกครั้ง เบื้องต้นทางผู้อำนวยการโรงเรียนให้ข้อมูลว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ โดยตอนแรกครูกับนักเรียนสื่อสารกันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะคอมพิวเตอร์ระเบิด เนื่องจากเวลานั้นไม่มีใครพบเห็นปืน แต่พบเมื่อตอนที่เจ้าหน้าที่งมขึ้นมาจากน้ำ 

“ทั้งนี้ตนยืนยันว่าทางโรงเรียนไม่ได้มีการปกปิดข้อมูล เพราะโลกปัจจุบันเชื่อว่าไม่มีใครปกปิดข้อมูลได้โดยเท่าที่ฟังรายงานเบื้องต้น ทันทีที่เกิดเหตุนักเรียนเป็นคนบอกครูว่าคอมพิวเตอร์ระเบิด ครูจึงไปแจ้งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนรับทราบ และแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ส่วนทางผู้อำนวยการโรงเรียน และครูที่ดูแล จะมีความผิดหรือไม่นั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ทางโรงเรียนต้องรับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว แต่ต้องไปดูว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากความประมาทแค่ไหนอย่างไร หรือเกิดจากเหตุสุดวิสัย ซึ่งต้องไปดูความข้อเท็จจริงก่อน จึงจะสามารถชี้ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตรงนี้เป็นไปตามฐานข้อมูลและแนวปฏิบัติ”

นายอัมพรกล่าวต่อว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทย และปืนที่ใช้ก่อเหตุก็เป็นปืนประดิษฐ์ ซึ่งเท่าที่ดูจากหลายเหตุการณ์ในสังคมไทย จะเห็นว่าปืนหาง่ายมาก ใครก็เข้าถึงได้ง่าย ดังนั้นต้องมีมาตรการ เฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมเด็กต่อไปว่ามีความเสี่ยงแค่ไหน อย่างไร ถ้าเรามีเป้าหมายในการดูพฤติกรรมความเสี่ยงของบุคคลได้ ก็จะทำให้เหตุการณ์ลักษณะนี้ลดลง 

โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เด็กต้องเรียนออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เด็กต่างคนต่างอยู่ พอได้กลับมาอยู่รวมกันที่โรงเรียน ก็อาจจะทำให้ขัดแย้งกัน เริ่มมีปัญหากันนำมาสู่การตัดสินใจที่อาจจะผิดพลาด เพราะไม่ได้คลุกคลีกันมาตลอด 2 ปี ซึ่งต่อไปนี้ สพฐ.ก็จะร่วมมือกับกรมสุขภาพจิตดูแลเรื่องนี้อย่างเข้มงวดมากขึ้น