Mission To Top U สานฝันเด็กไทยสู่มหา’ลัยระดับโลก

ระดมเลิศ อนันตชินะ
ระดมเลิศ อนันตชินะ

การเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยระดับท็อปของโลก อาจไม่ใช่เรื่องยากเสมอไปสำหรับคนที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ซึ่งเป็นความเชื่อของ “ระดมเลิศ อนันตชินะ” ซีอีโอผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ภัคอนันต์ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด หรือ Mission To Top U ที่มีความตั้งใจอยากจะช่วยเด็กไทยให้มีโอกาสเข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยระดับท็อปของโลก

ทั้งนั้นเพราะ Mission To Top U เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2559 โดยเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนชั้น ม.ปลาย และคนที่มีความฝันอยากเข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด, สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT), มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด, มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย, มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย, มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น, มหาวิทยาลัยบราวน์, มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน, มหาวิทยาลัยเยล, มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ฯลฯ

“ระดมเลิศ” กล่าวว่า หากย้อนกลับไปช่วงก่อนเริ่มก่อตั้ง หลังจากที่ผมเรียนจบ มีโอกาสทำงานสายการเงินกับธนาคารแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงขอทุนของบริษัทไปศึกษาต่อด้าน MBA ที่ Duke University สหรัฐอเมริกา ประมาณ 2 ปี โดยบริษัทให้ทุน 100% พอหลังจากเรียนจบกลับมาทำงานใช้ทุน 4 ปี ระหว่างนั้นมีคนเข้ามาถามเรื่องการไปเรียนต่างประเทศว่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

เพราะตอนนั้นไม่ค่อยมีคนรู้เท่าไรว่าเส้นทางการไปเรียนต่อในต่างประเทศ โดยเฉพาะระดับ Top University ทำอย่างไร อีกอย่างอาจเป็นเพราะไม่ค่อยมีคนให้คำแนะนำอย่างจริงจังเท่าไร

“ผมและเพื่อน ๆ ซึ่งจบจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศเหมือนกันเลยร่วมกันจัด section แนะแนวน้อง ๆ ที่สนใจผ่านรูปแบบออนไลน์ โดยทำเป็นคอนเทนต์ว่าทำอย่างไรถึงจะไปเรียนต่อต่างประเทศได้ ต้องเตรียมตัวอย่างไร จากนั้นพอเห็นว่าคนเริ่มสนใจมากขึ้นเลยจัดตั้งบริษัทให้คำปรึกษาอย่างจริงจัง

ซึ่งบทบาทของเราไม่ใช่แค่ให้คำปรึกษาอย่างเดียว แต่ช่วยลงมือทำด้วย แบบตัวต่อตัว เช่น สร้างโปรไฟล์อย่างไรให้โดดเด่น เขียนเรซูเม่ เขียนเรียงความแนะนำตัวเอง ก็คือช่วยน้อง ๆ ทั้ง ป.ตรี หรือ ป.โท เพื่อค้นหาตัวเอง หรือเฟ้นหาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ และวิธีการสัมภาษณ์ต่าง ๆ”

“ซึ่งการเตรียมพร้อมเรื่องนี้ ผมคิดว่าอย่างน้อยควรจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ถ้าน้องที่สนใจเรียนต่อปริญญาตรีคือพอเริ่มเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ควรจะรู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ตรงนี้คือแพชชั่นของผม และเพื่อน ๆ ที่อยากจะพาเด็กไทยไปตรงนั้น เพราะหากดูรายชื่อมหาวิทยาลัยระดับโลก เช่น สแตมฟอร์ด ออกซ์ฟอร์ด อัตราการรับนักศึกษาของเขาไม่ได้มาก ปริญญาตรีอยู่ที่ 4% ปริญญาโท ถ้าเป็น MBA จะอยู่ที่ 10-15% และคู่แข่งมาจากหลากหลายประเทศ

ฉะนั้น เราจะทำอย่างไรให้สอบติดเข้าไปได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ GPA แต่ยังมีวิธีการพรีเซนต์ตัวเราเองว่าเราจะขายตัวเราอย่างไรให้เขาเห็นประโยชน์ และรับเราเข้าไปเรียนด้วย ตรงนี้คือจุดสำคัญแรก ๆ”

“ระดมเลิศ” กล่าวต่อว่า เพราะสิ่งที่มหาวิทยาลัย Top U ต้องการอย่างแรกคือ อยากดูว่าน้อง ๆ จะเรียนรอดหรือไม่ นั่นคือที่มาว่าจะต้องสอบวัดความสามารถต่าง ๆ เช่น GMAT, GRE, IELTS, TOEFL อย่างที่สองคือเขาจะดูว่าพอเรียนจบไป จะประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยเขาได้หรือไม่ ดังนั้นการมีคะแนนสอบสูง อาจไม่ช่วยเท่าไรแต่เรซูเม่นั้นสำคัญ

นอกจากนั้น การเขียนเรียงความ หรือ Statement of Purpose (SOP) รวมถึงการพรีเซนต์ควรจะมีหัวหน้างาน, อาจารย์ มาเขียนชื่นชม พร้อมยกตัวอย่างว่าเราดีอย่างไร และสุดท้ายคือการสัมภาษณ์ แต่ละมหาวิทยาลัยเขาถามไม่เหมือนกันแน่นอน

“ฟังดูอาจเป็นเรื่องยาก แต่ผมคิดว่าเด็กไทยทำได้ แค่มีความอยาก ความมุ่งมั่น บางคนบอกว่า มีเงินเท่านั้นถึงจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยระดับโลกได้ ปณิธานของบริษัทเราคืออยากจะลบความเชื่อเก่า ๆ เหล่านี้ เพราะเป็นความเชื่อผิด ๆ ว่าต้องเกรดดีเท่านั้นถึงจะไปได้ หรือเงินน้อยไปไม่ได้ ผมคิดว่าโลกปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว

ตอนนี้มีทุนการศึกษามากมายที่พร้อมสนับสนุนโอกาสของเด็กไทย ทั้งทุนจากองค์กร หน่วยงานในไทย หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็มีทุนให้ เลยกลับมาที่ความเชื่อของผมคือ ความมุ่งมั่น และความทะเยอทะยานที่จะไปตรงนั้นมากกว่า และเราต้องรู้จักตัวตนของเรา”

ปัจจุบันมีบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการแนะแนวเรียนต่อต่างประเทศมากมาย คำถามคือ Mission To Top U มีจุดเด่นอย่างไร ? และอะไรคือความท้าทาย ?

“ระดมเลิศ” บอกว่า อย่างแรกคือผมไม่ได้ทำคนเดียว เพราะคนที่ทำงานกับผม หุ้นส่วนผม หลายคนมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญเยอะมาก พวกเราทุกคนสามารถดูแลน้อง ๆ แต่ละคนได้อย่างดี เพื่อจะพัฒนาตัวตนของน้อง ๆ และมุ่งเป้าไปที่มหาวิทยาลัยระดับท็อป ๆ เท่านั้น

ตอนแรกที่เราทำ ยากมาก เพราะเสนอให้มหาวิทยาลัยดัง ๆ 100 คน ได้แค่ 1 คน แต่พอผ่านมา 7 ปี เริ่มดีขึ้น ตอนนี้รวม ๆ แล้ว ก็มีน้อง ๆ ที่ให้เราช่วย offer ประมาณ 700 ที่ หรือ 700 มหาวิทยาลัย ซึ่งที่ offer มีทั้ง ป.ตรี, ป.โท ในหลักสูตรยอดฮิตจะเป็น MBA, Data Science, Computer Sciece, AI ฯลฯ

“อนาคตมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเราตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มโอกาสเด็กไทยสู่มหาวิทยาลัยโลกขยายขึ้นเป็น 5% จากปัจจุบันอยู่ 1-2% ตอนนี้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีการปรับหลักสูตรใหม่ ๆ น่าสนใจและทันต่อโลกการทำงานปัจจุบัน เช่น หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ Sustainabilty การทำธุรกิจอย่างไรให้มีความยั่งยืน ที่เป็นเทรนด์ของโลกในยุคปัจจุบัน”

ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อของสถาบันการศึกษามีผลต่อการดึงดูดใจให้บริษัทเลือกเข้าทำงาน อีกอย่างคือการไปเรียนต่างประเทศจะช่วยทำให้เด็กไทยอัพสกิลหลายอย่าง รวมถึงการสร้าง Network เพราะสิ่งที่ Mission To Top U ปักหมุดภารกิจคือ อยากทำให้เด็กไทยสามารถแข่งขันกับเด็กประเทศอื่นได้อย่างแข็งแรง