หุ้นไทยแกว่ง 1,640-1,660 จุด กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย น้ำมันอ่อนตัว

หุ้นไทย

บล.กรุงศรีฯ ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัว 1,640-1,660 จุด กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงจากสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นกดดันภาวะตลาด

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีฯ รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า วานนี้ดัชนี SET Index ลดลง 5 จุด (-0.32%) ปิดที่ระดับ 1,647 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1.14 แสนล้านบาท หุ้นกลุ่มน้ำมันปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์โดนถล่มขายเพราะกังวลปัญหาหนี้ NPLs

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ประเมิน SET Index แกว่งตัว 1,640-1,660 จุด แม้ตลาดหุ้นรอบบ้านจะฟื้นตัวขึ้นตามยอดค้าปลีกสหรัฐเดือน ม.ค. พุ่งเกินคาด อย่างไรก็ตามความกังวลเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้อ (FedWatch Tool ประเมินว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อีก 3 ครั้ง สู่ 5.25-5.50%) รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงจากสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นจะกดดันภาวะตลาด จึงเน้นลงทุนแบบ Selective buy ต่อไป

ประเด็นสำคัญวันนี้คือตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี แต่ตลาดกังวลว่าจะเร่งให้เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย โดยสหรัฐรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ม.ค. เพิ่มขึ้น 3% YOY สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.8% YOY และดีขึ้นจากเดือน ธ.ค. ที่หดตัว 1.1% YOY แต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีดังกล่าวกับทำให้ตลาดกลัวว่าจะเป็นปัจจัยผลักดันให้เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไป

ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 47 เซนต์ ปิดที่ 78.59 เหรียญต่อบาร์เรล หลังจาก EIA รายงานสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 16.3 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่ Consensus คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.4 ล้านบาร์เรล

กลยุทธ์การลงทุน : Selective Buy หุ้นที่คาดงบไตรมาส 4/2565 เติบโต และหุ้นรับอานิสงส์ราคาพลังงานอ่อนตัวลง

โดยแนะนำหุ้น BCH คาดผลประกอบการจะพลิกทำกำไรตั้งแต่ไตรมาส 4/2565 เบื้องต้นคาดมีกำไรไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 406 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/2565 ที่ขาดทุน 403 ล้านบาท และยังมีอัพไซด์จากการเพิ่มค่ารักษาประกันสังคมซึ่งปรับราคาทุก ๆ 2 ปี (ครบกำหนดปีที่ผ่านมารอแค่ปรับราคา)

และ ITC โดยประกาศงบปี 2566 มีกำไรสุทธิ 4,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180% YOY ดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ 6% ส่วนวันนี้ได้ Sentiment บวกค่าเงินบาทอ่อนค่ามากสุดในรอบ 1 เดือน เป็นบวกต่อกลุ่มส่งออกโดยเฉพาะ ITC ซึ่งส่งออก 90% ของรายได้รวม