กองทุนหุ้นสหรัฐยีลด์ฟื้นแรง ตลาดเบาใจ “เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย”

กองทุนหุ้นสหรัฐ

ตลาดหุ้นสหรัฐในปี 2565 ที่ผ่านมา ผลตอบแทนร่วงแรง จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ย ไปจนถึงความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรง แต่ปี 2566 นี้หลังจากที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากปัจจัยเหล่านี้ เริ่มกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง

ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ส่งผลถึงกองทุนหุ้นสหรัฐที่ผลตอบแทนเป็นบวกขึ้นมาสูงสุดถึง 25% โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโต (growth stocks)

“ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐในเดือนมกราคมที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น โดยภาพรวมผลตอบแทนกองทุนหุ้นสหรัฐบวกขึ้นเฉลี่ย 8.4% หลังจากที่ปีที่แล้วมีผลตอบแทนเฉลี่ย -34.5%

ซึ่งอุตสาหกรรมที่ผลตอบแทนบวกขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรกที่ปรับตัวขึ้นในเดือนมกราคมที่ผ่านมา (อ้างอิง Morningstar US Sector Index) ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (consumer cyclical) 15.52%, กลุ่มบริการสื่อสาร (communication services) 14.33%, กลุ่มเทคโนโลยี (technology) 10.26%

โดยกองทุนที่ผลตอบแทนปรับขึ้นมาสูงสุด 2 อันดับแรก เป็นของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ ได้แก่ กองทุน SCBINNO (E) ผลตอบแทนอยู่ที่ 25.06% และกองทุน SCBINNO (SSF) 24.99% ตามด้วยกองทุน KFINNO-A จาก บลจ.กรุงศรี 24.46% และกองทุน TMB-ES-GINNO กับกองทุน T-ES-GINNO-RMF ของ บลจ.อีสท์สปริง ผลตอบแทนอยู่ที่ 23.99% และ 22.83% ตามลำดับ (ดูตาราง)

“ทั้งนี้ แม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับขึ้นมา แต่โดยรวมถือว่าราคาปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังอ่อนแอและนโยบายการเงินสหรัฐที่ยังเข้มงวด ทำให้โอกาสสร้างผลตอบที่ดีจากตลาดหุ้นยังไม่ได้มาง่าย ๆ และแม้ว่าภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ไม่ได้ออกมาแย่มาก แต่จากนี้ คาดการณ์ outlook โดยรวมของแต่ละบริษัทกลับไม่ได้ดีมากนัก”

“ชญานี” กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้คาดว่าสหรัฐยังดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวด โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25 bps. ในเดือนมีนาคมหลังจากที่เพิ่งจะปรับขึ้นไป 25 bps. ในรอบนี้

ด้านภาพเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอและเสี่ยงต่อภาวะถดถอย ทำให้บริษัทต่าง ๆ ยังมีมุมมองต่อธุรกิจในอนาคตที่ไม่ดีมากนัก ขณะที่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้
มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วงแรก โดยเฉพาะนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากเงินเฟ้อที่ชะลอลง

“ในแง่ทิศทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนระยะยาว แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนแบบ barbell portfolio โดยให้น้ำหนักกับหุ้นคุณค่า (value) และหุ้นเติบโต (growth stocks) ที่ราคายังต่ำ (undervalued) รวมถึงหุ้นขนาดเล็กที่ราคายังต่ำเช่นกัน และให้น้ำหนักไม่มากกับหุ้นกลุ่มที่ราคาอยู่ในระดับที่ fair value แล้ว” นางสาวชญานีกล่าว

ตาราง 10 อันดับ กองทุน

ขณะที่ “บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า ปีนี้มีมุมมองเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดหุ้นสหรัฐ โดยจะเห็นว่าในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างดี อย่างหุ้น NASDAQ ปรับขึ้นมา 10% และเป็นโอกาสให้นักลงทุนใช้จังหวะนี้ในการขายทำกำไร ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่น ๆ ที่เคยติดลบในปีที่แล้ว อย่างตลาดหุ้นเวียดนามหรือตลาดหุ้นจีน

“ปีนี้ก็มีภาพของความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลับเข้ามาในบางช่วง แม้จะไม่มาก แล้วก็ยังมีความกังวลในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนเกี่ยวกับบอลลูนที่สหรัฐมองว่าจีนเอาบอลลูนเข้าไปสอดแนม”

ทั้งนี้ บลจ.อีสท์สปริง มีมุมมองต่อตลาดหุ้นสหรัฐในเชิงบวกอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.เศรษฐกิจของสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง GDP ยังมีการขยายตัว โดยหากย้อนดูการประกาศตัวเลข GDP ในแต่ละครั้งที่ผ่านมา จะมีการปรับประมาณการขึ้นทุกรอบ

ขณะที่ภาคแรงงานยังคงแข็งแกร่ง และการที่จีนกลับมาเปิดประเทศเร็วกว่าคาด ก็ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงสหรัฐ ดังนั้นเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้นน่าจะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง

2.ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่ได้แย่ บริษัทเติบโตแต่กำไรอาจจะมีติดลบบาง ๆ จากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ได้ติดลบมาก 3.นโยบายการเงินของเฟด คาดว่าไม่น่าจะขึ้นดอกเบี้ยมากไปกว่านี้แล้ว น่าจะขึ้นอีกประมาณ 1-2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นภาพของเงินเฟ้อเริ่มที่จะปรับลดลงช้า ๆ ในหลายเดือนที่ผ่านมา

“3 ประเด็นนี้คาดว่าน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐยังปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่ในบางช่วงของปีก็อาจจะมีการขายทำกำไร (take profit) ออกมาได้บ้าง ขณะที่ความเสี่ยงหลัก ๆ ที่ยังคงต้องจับตาดูในปีนี้คือ ความเสี่ยงเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับจีน

ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เป็นตัวเบรกความร้อนแรงของตลาดหุ้นเป็นช่วง ๆ มองว่าปีนี้ตลาดหุ้นสหรัฐยังน่าสนใจและน่าจะมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ จากปัจจัยลบในปีที่แล้วที่ตลาดรับรู้และคลี่คลายลงไปมากกับปัจจัยบวกที่เพิ่มเข้ามาในปีนี้” นายบดินทร์กล่าว

ฟาก “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นจากความกังวลเรื่องของการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป คือมองว่าเฟดน่าจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อเริ่มมีทิศทางที่อ่อนตัวลง

ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจและกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกรอบ ทั้งนี้ บลจ.ทิสโก้มีมุมมองต่อตลาดหุ้นสหรัฐปีนี้เป็นบวก จากปัจจัยลบในปีที่แล้วไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจัยการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่น่าจะคลี่คลายมากขึ้นในปีนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายไปเลย

“แม้ว่าความกังวลอาจจะลดน้อยลง แต่เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะยังเป็นปัจจัยที่คนยังพูดถึงอยู่ในปีนี้ และจะเป็นปัจจัยที่ยังเข้ามากดดันตลาดหุ้นได้ในบางช่วง ซึ่งจะเห็นว่าตอนนี้ดูเป็นตลาดขาขึ้นก็จริง แต่ก็น่าจะยังมีการขายทำกำไร (take profit) เป็นรอบ ๆ อยู่ หรือยังมีความผันผวนอยู่

ซึ่งนักลงทุนยังคงต้องจับตาตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจต่าง ๆ ของสหรัฐที่จะทยอยประกาศออกมา ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเงินเฟ้อ หรือตัวเลขการจ้างงาน แต่โดยภาพรวม เรายังคงเชื่อว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะกลับมาปรับตัวขึ้นได้ดี” รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้กล่าว