ทิสโก้ เปิด 3 ปัจจัย “ตัวช่วย” ปัญหา SVB ไม่ลามเหมือนซับไพรม

ทิสโก้

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ มอง 3 ปัจจัย “ตัวช่วย” ให้ปัญหา SVB ไม่ลุกลามเป็นปัญหาเศรษฐกิจโลกเหมือนวิกฤตซับไพรมในอดีต

วันที่ 28 มีนาคม 2566 นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ประเมินว่าปัญหาสภาพคล่องของภาคธนาคารที่เริ่มต้นขึ้นจากธนาคาร Silicon Valley (SVB) ในสหรัฐจะไม่ลุกลามเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ และไม่กลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจโลกเหมือนเหตุการณ์วิกฤตสินเชื่อซับไพรมที่เกิดขึ้นในปี 2551 จาก 3 ปัจจัยสนับสนุน คือ

คมศร ประกอบผล
คมศร ประกอบผล

1.ปัญหาในภาคธนาคารสหรัฐในรอบนี้เกิดจากปัญหาสภาพคล่องไม่ใช่ปัญหาด้านคุณภาพสินทรัพย์ 2.ธนาคารกลางมีประสบการณ์และมีเครื่องมือพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง และ 3.สภาพคล่องในระบบธนาคารยังมีเพียงพอ นอกจากนี้ สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลงหลังจากที่ภาครัฐทยอยออกมาตรการมาเพิ่มแก้ไขปัญหา

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการลงทุนนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ยังแนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากราคาหุ้นสหรัฐยังอยู่ในระดับสูง โดยได้ฟื้นตัวกลับมาอยู่เท่ากับในช่วงต้นเดือนมีนาคมก่อนมีข่าว SVB และราคาหุ้นในปัจจุบันไม่ได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และปัญหาเงินเฟ้อซึ่งยังไม่จบและอาจทำให้ Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยไปสูงกว่าที่ตลาดคาด จึงคงคำแนะนำที่ให้ทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นเมื่อ ดัชนี S&P500 ต่ำกว่า 3,700 จุด

นายคมศรกล่าวอีกว่า สำหรับรายละเอียด 3 ปัจจัยสนับสนุนให้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่า ปัญหาสภาพคล่องในครั้งนี้จะไม่เป็นวิกฤตเหมือนปี 2551 มีดังนี้ 1.ปัญหาในภาคธนาคารสหรัฐในรอบนี้เกิดจากปัญหาสภาพคล่อง ไม่ใช่ปัญหาด้านคุณภาพสินทรัพย์เหมือนในช่วงวิกฤตสินเชื่อซับไพรม ซึ่งฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกและทำให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันด้อยค่าลงจนเป็นเหตุให้ธนาคารล้ม แต่ในปัจจุบันเกณฑ์การกำกับดูแลภาคธนาคารที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ภาคธนาคารมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพสินทรัพย์ดีกว่าในช่วงวิกฤตสินเชื่อซับไพรมเป็นอย่างมาก

2.ธนาคารกลางมีประสบการณ์และมีเครื่องมือพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง โดยปัญหาในรอบนี้เกิดจากการแห่ถอนเงินของผู้ฝากเงิน ซึ่งบีบบังคับให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเร่งขายสินทรัพย์คุณภาพดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาลออกมาในราคาต่ำ และทำให้ธนาคารต้องรับรู้ผลขาดทุน

โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ออกมาแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการออกมาตรการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธนาคาร ซึ่งเรียกว่า Bank Term Funding Program โดยธนาคารพาณิชย์สามารถนำพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้คุณภาพสูงมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อกู้เงินจาก Fed ได้เป็นระยะเวลาหนึ่งปี ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องรับผลขาดทุนจากการขายตราสารดังกล่าวในตลาด

นอกจากนี้ สถาบันประกันเงินฝากของสหรัฐยังได้ประกาศคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนสำหรับธนาคารที่ล้มไปแล้ว ซึ่งหากมาตรการที่ออกมายังไม่เพียงพอ ทางการสหรัฐสามารถประกาศมาตรการเพิ่มเติม เช่น การขยายวงเงินคุ้มครองเงินฝากหรือคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน เพื่อกู้วิกฤตศรัทธาของผู้ฝากเงินและชะลอการไหลออกของเงินฝากหลังจากนี้ โดยจากรายงานงบดุลรายสัปดาห์ของธนาคารพาณิชย์พบว่าการไหลออกของเงินฝากเริ่มชะลอตัวลงในสัปดาห์ล่าสุด ในขณะที่การปล่อยกู้ยังเติบโตต่อเนื่องและยังไม่เห็นถึงผลกระทบเชิงลบจากการไหลออกของเงินฝาก

3.สภาพคล่องในระบบธนาคารยังมีเพียงพอ โดยปัจจุบันปริมาณเงินสดสำรอง (Bank Reserves) ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในสหรัฐ อยู่ที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อรวมกับสภาพคล่องที่อยู่ในกองทุนตลาดเงิน (Money Market Funds) อีก 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สภาพคล่องโดยรวมยังมีมากถึง 5 ล้านล้าน ซึ่งยังสูงกว่าระดับสภาพคล่องขั้นต่ำที่ภาคธนาคารต้องการที่ 10% ของ GDP หรือราว 2.5 ล้านล้านถึงสองเท่า