SCB EIC ประเมินมีโอกาส กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 2.5% ในไตรมาส 3 ปีนี้

SCB EIC ชี้ กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.75% ตามคาด

SCB EIC ชี้ กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.75% ตามคาด ประเมินกรณีฐานดอกเบี้ยนโยบายไทยปรับขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 2% ในช่วงกลางปีนี้ ส่วนกรณีเศรษฐกิจครึ่งหลังของปีฟื้น แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่ม มีโอกาส กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 2.5% ในไตรมาส 3 ปีนี้

วันที่ 30 มีนาคม 2566 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.5% เป็น 1.75% ต่อปี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกสินค้าเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากที่หดตัวในช่วงก่อนหน้า และคาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังสูงและสถานการณ์ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเริ่มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงกลางปีนี้ แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูงและมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนและแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องมีความสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ประเมินไว้

ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าที่เคยประเมินไว้ จากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคเอกชน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่เร็วและแรงกว่าคาด โดย SCB EIC ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้เป็น 3.9% จากเดิม 3.4% และปรับเพิ่มคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566 ขึ้นจาก 28 ล้านคนเป็น 30 ล้านคน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ตลาดแรงงานและการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่อง

นอกจากนี้ พบว่า อุปสงค์ในประเทศปรับดีขึ้น ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและผู้บริโภคปรับสูงขึ้น ตลาดแรงงานฟื้นตัวดีขึ้น โดยเครื่องชี้หลายมิติเข้าใกล้ระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิดมากขึ้น และแม้ว่าความเปราะบางในตลาดแรงงานยังคงมีอยู่ แต่มีแนวโน้มปรับลดลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยว

ขณะเดียวกัน SCB EIC คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับลดลงสู่ 2.7% จากราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลงและมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศที่มีต่อเนื่อง สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปีนี้ คาดว่าจะปรับลดลงสู่ 2.4% โดยในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจปรับลดลงไม่เร็วนัก จากการทยอยส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค และแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

โดย SCB EIC ประเมินว่า Neutral rate ของไทยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.5% โดย กนง. จะสามารถทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว บนเงื่อนไข 2 ประการ ได้แก่ (1) เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องในระยะข้างหน้า และ (2) แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจะช่วยดูแลให้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อกลับมาอยู่ในกรอบเป้าหมายได้ในปีนี้ตามที่ กนง. ประเมินไว้

SCB EIC ได้ประเมิน Neutral rate หรือระดับอัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจในระยะยาวที่มีระดับผลผลิต ณ ระดับศักยภาพ และระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปมีเสถียรภาพในระยะยาวตามกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สะท้อนบทบาทของนโยบายการเงินที่เป็นกลาง (ไม่ได้ตึงตัวหรือผ่อนคลาย) ในการประเมินครั้งนี้ได้นำสมการ Taylor’s rule มาใช้ในการวิเคราะห์ร่วมกับการพิจารณาผ่าน Central bank’s loss function[1] เพื่อหา Path ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ระดับ Neutral rate ที่เหมาะสม สามารถลด Inflation gap และ Output gap paths ที่จะเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจให้เหลือน้อยที่สุดได้

โดยประเมินว่า Neutral rate ล่าสุดของไทยอยู่ที่ 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยอยู่ ณ ระดับศักยภาพ และอัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท. ที่ 1-3% บทบาทของนโยบายการเงินเป็นกลางมากขึ้นโดยสะท้อนจากระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงเป็นลบน้อยลงและใกล้ค่าศูนย์มากขึ้น

ดังนั้น SCB EIC จึงคาดว่า กนง. อาจจะปรับนโยบายการเงินให้กลับเข้าสู่ระดับปกติที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยมี Path การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไปสู่ระดับ Terminal rate ที่ 2.5% ได้ใน 2 กรณีที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ดังนี้

Base case

กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 2% ในเดือน พ.ค. และคงไว้ตลอดปีนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่เศรษฐกิจโลกอาจมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงได้จาก Downside risks เช่น ผลของนโยบายการเงินโลกตึงตัว (Lag effect) และความไม่แน่นอนของปัญหาสถาบันการเงินในบางประเทศหลักขาดสภาพคล่อง รวมถึงเพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยทั่วถึงมากขึ้นท่ามกลางภาวะการเงินตึงตัว สะท้อนจากการฟื้นตัวของรายได้ภาคธุรกิจและครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ก่อนจะเริ่มตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ Terminal rate ที่ 2.5% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567

Better case

หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และมีแรงกดดันเงินเฟ้อจากอุปสงค์ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น กนง. มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องครั้งละ 25 BPS ไปสู่ระดับ Terminal rate ที่ 2.5% ในไตรมาส 3 ของปีนี้และคงไว้ เพื่อให้กลไกดอกเบี้ยนโยบายส่งผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจต่อไป

2. ต้นทุนการระดมทุนของไทยจะปรับสูงขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยจะปรับสูงขึ้นทั้งในตลาดสินเชื่อและตลาดพันธบัตร

นอกจากนี้ SCB EIC พบว่า การส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่อัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นครั้งนี้ ปรับลดลงจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในอดีต โดยพบว่ามีการส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนมากที่สุด (62.5%) รองลงมาคือส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีหรือ MLR (54.5%)

ขณะที่ส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR น้อยที่สุด (21.5%) ซึ่งสอดคล้องกับการสื่อสารของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาที่ให้ระบบธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของภาคธุรกิจและครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ธนาคารจึงพยายามระมัดระวังการส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (M-rates) เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยอีก 0.4% ในเดือนมกราคม 2566 จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยกเลิกการปรับลด FIDF fee เหลือ 0.23% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทปรับเพิ่มขึ้นทันที 40 BPS