แนวโน้ม SET เม.ย. ภาพรวมยังดี ใช้โอกาสย่อเก็บหุ้นพื้นฐานดี

SET ขึ้นแนวต้าน 1,630 - 1,635 จุด ตอบรับตัวเลข CPI สหรัฐต่ำกว่าคาด
ภาพจาก PIXABAY
คอลัมน์ : เติมความคิดพิชิตการลงทุน
ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์

สวัสดีครับท่านนักลงทุน วิกฤตธนาคารสหรัฐ-ยุโรป สะเทือนการลงทุนทั่วโลก ส่งผลให้ SET เกิด panic sell ปรับลงแรงในช่วงครึ่งแรกของเดือน มี.ค. จากความกังวลวิกฤตธนาคารในสหรัฐและยุโรป โดยกังวลผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มธนาคารในไทย

อย่างไรก็ตาม หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมายืนยันว่าความเชื่อมโยงของธนาคารไทยกับกลุ่มเทค ในสหรัฐอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ธนาคารไทยมีความเข้มแข็งทางการเงินสูง จึงสร้างความมั่นใจในระดับหนึ่ง ประกอบกับธนาคารกลางต่าง ๆ ออกมาเสริมสภาพคล่องได้อย่างทันท่วงที ช่วยให้ความกังวล domino effect คลี่คลายลง

นอกจากนั้น SET ยังได้แรงหนุนจากการประกาศยุบสภาและมี timeline ในการเลือกตั้งใหม่ ตลาดหุ้นไทยจึงฟื้นตัวช่วงครึ่งหลังของเดือน มี.ค. และขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,600 จุดได้อีกครั้ง

ด้านทิศทาง fund flow ในเดือน มี.ค. ต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 2 ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 4.4 หมื่นล้านบาท โดยเพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่ลดสัดส่วนการถือครองในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ICT ปิโตรเคมี

ขณะที่ performance ของดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex. Japan ในช่วง 1 และ 12 เดือนที่ผ่านมา แย่กว่าในช่วง 3 และ 6 เดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ในส่วนของประมาณการกำไร ปี 2566 ของ SET นั้น consensus มีการปรับลง 1.19% เช่นเดียวกับ ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย จีน และอินโดนีเซีย ที่ปรับลง 19.77%, 4.03%, 3.03%, 2.72% และ 1.22% ตามลำดับ ตรงข้ามกับฟิลิปปินส์ และฮ่องกงที่ปรับขึ้น 16.18% และ 14.49% ตามลำดับ

Advertisment

ด้านแนวโน้ม SET แม้ช่วงสั้นตลาดจะคลายกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของวิกฤตธนาคารในสหรัฐ และยุโรป แต่เชิงเทคนิคตลาดเข้าสู่ภาวะ overbought บวกกับ มุมมองที่แตกต่างกันระหว่างเฟดและตลาดเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจนำไปสู่ความผันผวนของตลาดในระยะถัดไป อีกทั้งโดยปกติเดือน เม.ย. วอลุ่มเฉลี่ยต่อวันของตลาดส่วนใหญ่จะปรับตัวลดลง MOM เนื่องจากนักลงทุนมักจะชะลอการเข้าลงทุนจากการมีวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ จึงทำให้มองช่วงสั้นนี้ SET จะเริ่มมี upside จำกัดและมีโอกาสพักตัว

อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวรับกรอบล่างบริเวณ 1,540-1,560 จุด คาดว่าเป็นจุดรองรับได้ เนื่องจากการออกมาตรการที่รวดเร็วในช่วงที่เกิดวิกฤตสภาพคล่องที่เพิ่งผ่านมา ช่วยลดความเสี่ยงที่วิกฤตจะลุกลามได้ดี และวิกฤตรอบนี้กระทบภาพรวมตลาดเป็นหลัก ในขณะที่ผลกระทบต่อภาคธุรกิจมีจำกัด รวมถึงเฟดที่ใกล้ปลายทางสำหรับการขึ้นดอกเบี้ย และตลาดหวังถึงการลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะที่ปัจจัยในประเทศเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้ง ที่คาดสร้าง sentiment เชิงบวกให้กับตลาด ทำให้มองว่า SET มีโอกาสกลับมาเคลื่อนไหวเหนือบริเวณ 1,600 จุด ได้อีกครั้ง ดังนั้น การอ่อนตัวในช่วงนี้ จึงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม โดยหุ้นที่น่าสนใจ มีดังนี้ครับ

1) หุ้น best of the best ภายใต้วิกฤตการเงินในสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีพื้นฐานและฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-2567 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ outperform และ valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. ทำให้คาด downside เริ่มจำกัด จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF

Advertisment

2) หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไทยหลังราคาหุ้นยังไม่ค่อยปรับขึ้น เมื่อเทียบกับดัชนีกลุ่ม semiconductor ในสหรัฐที่ปรับขึ้นแรง ขณะที่ผลประกอบคาดจะผ่านจุดต่ำสุดใน 1Q66 เลือก KCE HANA

และ 3) หุ้นปันผล ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลัง 11 ปี (ปี 2554-2565 ยกเว้นปี 2563) พบมี 2 หุ้นที่อยู่ภายใต้การดูแลของเราซึ่งให้ผลตอบแทนบวกและมี win rate เกิน 50% ในเดือน เม.ย. ได้แก่ SPALI (ปันผลหุ้นละ 0.75 บาท) และ LH (ปันผลหุ้นละ 0.35 บาท) ซึ่งจะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พ.ค.

แล้วพบกันใหม่ ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี