ขึ้นค่าแรง เอฟเฟ็กต์กำไร บจ. “รับเหมา-ร้านอาหาร-ปั๊มน้ำมัน”

มาตรการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ตามนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ฝั่งผู้ประกอบการยังคงมีความกังวล ที่จะแบกรับภาระ และมีแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิตโดยรวม

PRACHACHAT WEALTH เล่าเรื่องการลงทุน จะไปพูดคุยกับคุณ “ธนกฤต ชาติเชิดศักดิ์” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีพัฒนสิน ที่จะมาวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

Q : ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ มีต้นทุนแรงงานเป็นอย่างไร การปรับครั้งนี้เทียบฐานอัตราค่าจ้างเดิมจะปรับขึ้นได้มากแค่ไหน

จริง ๆ ทางกรุงศรีพัฒนสิน ก็ไปทำเซอร์เวย์ ในส่วนของค่าแรงของประเทศไทย แรงงาน ปีล่าสุดปี 2566 เรตค่าแรงจะอยู่แถว ๆ 328-354 บาท ซึ่งถ้าไปดูเทียบกับอดีต คือต้องยอมรับว่า ภาพของการขึ้นค่าแรง ตั้งแต่ปี 2553 เรามีการปรับขึ้นค่าแรงรอบใหญ่จาก 210 บาท ขึ้นมา 300 บาท ในปี 2554 ถือว่าเป็นการขึ้นครั้งใหญ่ในรอบนั้น

และหลังจากนั้นแต่ละปี เรียกได้ว่าค่าแรงแทบจะฟลีตอยู่ที่เดิม ขึ้นปีละประมาณ 1-2% ในช่วงปีหลัง ๆ รอบนี้เพิ่มขึ้นค่าแรงดูจากกระแสข่าว และในส่วนของรัฐบาลที่มีการเผยแล้วว่าอาจจะเห็นการปรับขึ้น 400 บาท รอบนี้จะเป็นการขึ้นค่าแรงประมาณ 10-11% โดยประมาณ

Q : ผลระทบของบริษัทจดทะเบียน เซ็กเตอร์ไหนที่มีต้นทุนแรงงานสูง และประเมินผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าไว้อย่างไร

ผมคิดว่าอย่างงี้คือ ถ้าเราอิงเรตการขึ้นค่าแรงจากกรอบบนประมาณ 10% ที่ปรับเพิ่มขึ้น ตรงนี้เซ็กเตอร์ที่จะกระทบ แน่นอนเลยคือคนที่มีสัดส่วนค่าแรงต่อค่าใช้จ่ายในอัตราที่สูง

ทางกรุงศรีพัฒนสินมีการประเมินนะครับว่า ถ้าเกิดมีการขึ้นค่าแรงทุก ๆ 10% เซ็กเตอร์ที่จะกระทบ 1.กลุ่มรับเหมา ค่าแรงที่ขึ้น 10% จะกระทบคาดการณ์กำไรในปีหน้าประมาณ 6.2%

เซ็กเตอร์ที่ 2 ที่จะกระทบรองลงมา จะเป็นในฝั่งของกลุ่มร้านอาหาร จะกระทบประมาณ 5% เซ็กเตอร์ที่ 3 คือ ปั๊มน้ำมันจะกระทบคาดการณ์กำไรประมาณ 3% อันนี้จะเป็น 3 เซ็กเตอร์หลักที่จะกระทบ

ในส่วนของผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน คิดว่าในส่วนของค่าแรงที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 10% ถ้าเกิดเราไม่รวมว่าในส่วนของผลประโยชน์ที่น่าจะได้ประโยชน์จากการขึ้นค่าแรง และก็อำนาจซื้อ กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น

ถ้าตัดตรงนี้ไป impact จะเป็น impact เชิงลบกับกำไรตลาด เราประเมินตัวเลขน่าจะกระทบประมาณ 4.25 พันล้านบาท หรือประมาณ -3% ของคาดการณ์กำไรตลาดในปีหน้าครับ

Q : ประเมินคาดการณ์กำไรตลาดปีหน้าไว้อย่างไร

คือในส่วนของตัวเลขประมาณการคาดการณ์กำไรตลาดปี 2567 เนื่องจากฐานปกติในช่วงนี้เราเห็นในส่วนของกำไรไตรมาส 3/2566 ที่ออกมา กำไรโดยภาพรวมถือว่าทำได้ค่อนข้างที่จะดี คาดหวังในส่วนของกำไรปีหน้า น่าจะเหนืออยู่ 1 ล้านล้านบาท

ในที่นี้ผมคิดว่าภาพของ impact จากประเด็นเรื่องค่าแรง อาจจะต้องกลับมารวมในส่วนของ benefit จากในส่วนของกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นด้วยครับ

Q : ล่าสุดผู้ประกอบการก็มีเสียงสะท้อนถึงความกังวลในการต้องแบกรับภาระ และแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิตทั้งหมด มีข้อเสนอให้จ่ายโดยยึดหลักการจ่ายค่าจ้างตามทักษะฝีมือ มีมุมมองอย่างไร

จริง ๆ เห็นด้วยนะครับ เพราะว่าในส่วนของภาพของการขึ้นค่าแรงรายเซ็กเตอร์ กลุ่มที่ไม่ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นมาในช่วงก่อนหน้า ผมคิดว่าเห็นด้วยกับการปรับเพิ่ม เพราะว่าในส่วนของศักยภาพของแรงงาน ในส่วนของภาพของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ถ้าเกิดมีการปรับเพิ่มขึ้นตรงนี้ ก็น่าจะบวกโดยตรงกับกำลังซื้อ และในส่วนของภาพของตัวธุรกิจโดยรวมครับ

Q : กลยุทธ์ลงทุนในเดือน ธ.ค.

ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ผมคิดว่าภาพตัวประเด็นเรื่องค่าแรง อันนี้คงต้องรอในช่วงเดือน ธ.ค. คือวันที่ 8 ธ.ค. ประชุมไตรภาคี และก็ 12 ธ.ค. จะมีการพิจารณาเรื่องการปรับเพิ่มขึ้นค่าแรง ซึ่งต้องมาดูในส่วนของรายละเอียดอีกทีนึง แต่เบื้องต้น impact ที่เมื่อกี้ประเมินให้ดู ผมว่าตรงนี้ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงสั้น ผมคิดว่าภาพของตัวเลือกการลงทุนในช่วงนี้ เรามองว่าตัวหุ้นในช่วงนี้ เราอยู่ในหุ้นที่อยู่โซนล่างจะปลอดภัยมากกว่า

เหตุผลเพราะว่าเรามองว่าภาพของตัวความผันผวนที่เข้ามาในตลาดหุ้นในช่วงเดือน พ.ย. ผมว่าตรงนี้สะท้อนกับในส่วนของราคาหุ้นแล้ว

และอีกขานึง หุ้นที่อยู่โซนล่างหลาย ๆ ตัว หลาย ๆ เซ็กเตอร์ เริ่มที่จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัว เรามองหลัก ๆ เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มอิงการบริโภคในประเทศ และได้ประโยชน์จากค่าแรงที่ขึ้นด้วย ตัวแรกจะเป็นในฝั่งของตัวค้าปลีก เราเน้นไปที่ CPALL และกลุ่มที่สองผมคิดว่าในฝั่งของกลุ่มฐานราก ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ก็คือตัวกลุ่มไฟแนนซ์ เรามองไปที่ตัว SAWAD

และก็อีกขานึงก็คือ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาพของเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวและราคาหุ้นปรับฐานลงจากประเด็นเรื่องจีน เรามองไปที่สนามบินอย่าง AOT รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมี ไม่ว่าจะเป็นตัว IVL และก็ในส่วนสุดท้ายผมว่าหุ้นที่อยู่ในโซนล่างอีกกลุ่มที่น่าสนใจ ก็คือในส่วนของกลุ่มโรงไฟฟ้า ภาพของตัวต้นทุนทั้ง gas ดอกเบี้ยที่ลง เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็น BGRIM, GPSC น่าสนใจในการลงทุน

โดยภาพรวมเดือน ธ.ค. เน้นไปหุ้นที่อยู่โซนล่าง ตลาดเรามองขึ้น แรงหนุนเราเชื่อว่ากองทุน TESG ที่จะเริ่มขายตั้งแต่ต้นเดือน ทาง บลจ. หลาย บลจ. จะเริ่มขาย อันนี้จะทำให้ภาพของโฟลว์ที่มาจากกองทุน น่าจะเป็นปัจจัยหนุนทำให้ตัว SET Index ปรับเพิ่มขึ้นได้ในช่วงปลายปีครับ