แนวโน้ม SET เดือน เม.ย. ขาดปัจจัยหนุน-ยังรอเลือกทาง

SET
คอลัมน์ : เติมความคิดพิชิตการลงทุน
ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์

สวัสดีครับท่านนักลงทุน SET ในเดือน มี.ค. ได้แค่เฉียด 1,400 จุด โดย SET ปรับลงในสัปดาห์แรกของเดือน มี.ค. หลังตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือนส่งสัญญาณตกท้องช้าง โดยภาคที่เคยแย่ เช่น ส่งออก การลงทุน การผลิต กลับมาฟื้นตัว แต่ภาคที่เคยขยายตัวดี เช่น ท่องเที่ยว การบริโภค กลับชะลอลง แต่หลังจากนั้น SET ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น หนุนจากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2567 เร็วกว่าคาด สร้างความคาดหวังว่าจะประกาศใช้ได้เร็วขึ้นในต้นเดือน เม.ย.

อย่างไรก็ตาม ที่ระดับ 1,400 จุด ยังเป็นแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยา ซึ่งหากผ่านไปได้จะเป็นการเปิด Upside ที่มากขึ้น ด้านนักลงทุนต่างชาติสลับมาขายสุทธิอีกครั้ง ที่ 5.3 พันล้านบาท (หักรายการ Big Lot AWC ในวันที่ 19-20 มี.ค. มูลค่าประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท) จากเดือนก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิ 2.86 พันล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมกระแส Fund Flow เดือนนี้ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกราว 1.6 พันล้านเหรียญ กล่าวคือ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และไต้หวัน ราว 3.2, 0.5 และ 0.08 พันล้านเหรียญตามลำดับ แต่ขายสุทธิตลาดหุ้นไทย มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ราว 1.2, 0.6, 0.4 และ 0.05 พันล้านเหรียญตามลำดับ

ด้านแนวโน้ม SET ในเดือน เม.ย. ยังมีกรอบบนจำกัดที่แนวต้าน 1,390-1,400 จุด เนื่องจากตลาดยังขาดปัจจัยหนุน และมีโอกาสเผชิญปัจจัยลบ Fund Flow ไหลออก หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 10 เม.ย.

รวมถึงตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับขึ้นต่อเนื่องมาก่อนหน้านี้ มีโอกาสพักฐาน สร้าง Sentiment ลบต่อ SET ด้านกรอบล่างมีแนวรับบริเวณจุดต่ำเดิม 1,350 จุด ซึ่งดัชนีมีความเสี่ยงในการทำจุดต่ำใหม่ได้อยู่ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,330 และ 1,300 จุด ส่วนกรณีทะลุ 1,400 จุด จะเปิด Upside ระยะสั้น โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1,435-1,445 จุด

ทั้งนี้ แม้ SET ดูยังไม่ไปไหน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Selective Buy เลือกหุ้นที่มีปัจจัยเด่นเฉพาะ ผมยังเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดได้

โดยแนะนำหุ้น Stock Picks ใน Q2/24 ของฝ่ายวิจัย InnovestX ซึ่งแนะนำคุณสมบัติของหุ้น 5 ประการที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด ได้แก่ 1) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบจากภาวะความไม่แน่นอนสูง และความท้าทายเชิงมหภาคในวงกว้าง 2) ได้รับโมเมนตัมเชิงบวกจากวงจรการผลิตทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้น พร้อมสัญญาณเบื้องต้นของการเติมสต๊อก

3) ผลประกอบการฟื้นตัวในปี 2024 ด้วยแรงหนุนจากอุปสงค์ที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และแรงกดดันด้านต้นทุนที่ลดลง 4) ได้รับประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณการคลังของภาครัฐที่เร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง และ 5) ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั้งผลประกอบการ และด้าน Valuation นำมาซึ่งหุ้นเด่นใน Q2/2024 ได้แก่ AOT, GFPT, GULF, KCE และ SCGP หรือ

อีกกลยุทธ์ คือ การซื้อถือเพื่อลงทุนระยะกลางถึงยาว เนื่องจากมองว่าปัจจุบัน SET ปรับลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อน และมองว่าในครึ่งปีหลัง แนวโน้มตลาดจะมีทิศทางที่ดีขึ้น การซื้อลงทุนเป็นโอกาสอันดีในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

ทำให้แนะนำลงทุนสะสมแบบ DCA ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีส่วนใหญ่อยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL, BDMS, BEM, CPALL, PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Ratings ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง เป็นกลุ่มหุ้นที่แนะนำลงทุนแบบ DCA ครับ

…แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี