ธปท.เปิดเอ็นพีแอล Q2 พุ่ง 2.93% กสิกรคอตก”SMEsไซซ์กลาง”ตกชั้นหนี้เสียโป่ง

เปิดข้อมูล ธปท.ชี้ “เอ็นพีแอล” ยังไม่หยุดไหล ล่าสุดไตรมาส 2/61 พีกต่อแตะ 2.93% ศูนย์วิจัยทีเอ็มบีปลอบใจครึ่งปีหลังเอ็นพีแอลส่อแวววูบ คาดสิ้นปีนี้แตะ 2.84% จับตาลูกหนี้ SM เสี่ยงตกชั้นปูดเป็นเอ็นพีแอลเพิ่ม แบงก์กสิกรฯรับเอสเอ็มอีไซซ์กลางปรับโครงสร้างหนี้ไม่รอด ตัดใจปล่อย “ตกชั้น” ไหลเป็นเอ็นพีแอล

ผู้สื่อข่าวรายงานตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (groos NPLs) ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2561 จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า มูลค่าเอ็นพีแอลของทั้งระบบในธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) อยู่ที่ 441,843 ล้านบาท ซึ่งเมื่อคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 2.93% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีสัดส่วนอยู่ที่ 2.92% หรือมูลค่าเอ็นพีแอลที่ 443,492 ล้านบาท

ส่วนเอ็นพีแอลสุทธิ (net NPLs) ไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.42% คิดเป็นมูลค่าเอ็นพีแอลคงค้างที่ 210,586 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา ที่มีเอ็นพีแอลสุทธิเพียง 1.39% หรือ 208,410 ล้านบาท

นอกจากนี้ ประชาชาติธุรกิจยังได้รวบรวมข้อมูลเอ็นพีแอลคงค้างของธนาคารพาณิชย์ 10 แบงก์ ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาพบว่า เอ็นพีแอลยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องราว 2.65% หรือมูลค่าเอ็นพีแอลคงค้างอยู่ที่ 4.3 แสนล้านบาท เทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา เอ็นพีแอลคงค้างอยู่ที่ 418,931 ล้านบาท

สำหรับแบงก์ที่มีเอ็นพีแอลคงค้างเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบครึ่งปีแรก คือ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เพิ่มขึ้น 18.19%เทียบจากสิ้นปีก่อน ธนาคารทิสโก้ (TISCO) เพิ่มขึ้น 9.64% และธนาคารกรุงไทย (KTB) เพิ่มขึ้นมา 7.32% ขณะที่ภาพรวมของสินเชื่อโดยรวม ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 11.59 ล้านล้านบาท เติบโต 2.60% เทียบจากสิ้นปีก่อน โดยแบงก์ที่มีสินเชื่อเติบโตมากสุด คือ ธนาคารกรุงศรีฯ (BAY) รองลงมาธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารกรุงเทพ (BBL)

นายนริศ สถาผลเดชา เจ้าหน้าที่บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า เอ็นพีแอลโดยรวมของงวดไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีการปรับขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 2.93% แต่ในระยะข้างหน้ามีสัญญาณดีขึ้นเป็นลำดับในครึ่งปีหลังนี้ โดยคาดว่าเอ็นพีแอลจะลดลงไปสู่ระดับ 2.84% ได้ภายในสิ้นปีนี้

“แม้ระยะข้างหน้าจะมองว่าเอ็นพีแอลมีทิศทางดีขึ้น และมีโอกาสปรับลดได้ต่อเนื่องจากระดับปัจจุบัน แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องระวัง คือหนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ ที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยสิ้นไตรมาสแรก SM (หนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ) ยังอยู่ในระดับสูงที่ 3.5 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องระวังต่อ เห็นได้จากการตั้งสำรองของแบงก์ต่อสินเชื่อรวมของทุกแบงก์ที่อยู่ในระดับสูงถึง 130-140% เพื่อรองรับเอ็นพีแอลที่อาจเกิดขึ้นได้” นายนริศกล่าว

ด้านนางสาวกาญจณา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมเอ็นพีแอล ณ สิ้นไตรมาส 2 ของธนาคารพาณิชย์ 10 แห่ง อยู่ที่ 4.37 แสนล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกที่อยู่ 4.39 แสนล้านบาท ขณะที่สัดส่วนเอ็นพีแอลทรงตัวอยู่ที่ 3.23% โดยกลุ่มที่ต้องระวังยังเป็นกลุ่มสินเชื่อบ้านและเอสเอ็มอี

สำหรับภาพรวมของสินเชื่อทั้งระบบ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.อยู่ที่ 11.31ล้านล้านบาท เติบโตสูงสุดในรอบปีนี้ โดยมาจากการเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อภาคธุรกิจและรายย่อย และหากดูในช่วง 6 เดือนแรกก็พบว่า สินเชื่อขยายตัวอย่างแข็งแกร่งกว่าที่คาด ซึ่งได้รับอานิสงส์จากภาคการส่งออก ทำให้ความต้องการสินเชื่อในภาคธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวดี แต่ยังมีแรงกดดันจากเอสเอ็มอีขนาดเล็กและขนาดย่อมที่ยังไม่ฟื้นตัวทันกับภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ขณะที่สินเชื่อรายย่อยปรับตัวดีขึ้นตามคาด ดังนั้นแนวโน้มสินเชื่อในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง และประคองให้สิ้นปีนี้เติบโต 5% ได้ โดยมีสินเชื่อธุรกิจและรายย่อยเป็นตัวนำ

นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เอ็นพีแอลของธนาคารยังทรง ๆ อยู่ที่ระดับ 5% ซึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มที่เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น คือ ธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดกลางที่เคยปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร ได้กลับมาตกชั้นอีก ทำให้เอ็นพีแอลกลุ่มนี้ขยับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ส่วนเอสเอ็มอีขนาดเล็กในปัจจุบัน ยังมีเอ็นพีแอลเกินระดับ 5% แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการเกิดเอ็นพีแอลใหม่ ๆ เกิดขึ้นน้อยลง

ส่วนภาพรวมสินเชื่อในรอบ 6 เดือนแรกของธนาคารจะยังเติบโตได้เพียงระดับกว่า 1% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงยืนยันเป้าหมายสินเชื่อรวมในปีนี้เติบโตที่ 4-6% โดยแนวโน้มครึ่งปีหลัง สินเชื่อจะเติบโตได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นมา มีการบุ๊กสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันสินเชื่อคงค้างของกลุ่มเอสเอ็มอีธนาคารอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท

“สินเชื่อของธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดกลางที่มียอดขายเกิน 100 ล้านบาท หรือวงเงินการขอสินเชื่อ 30 ล้านบาทขึ้นไป ดีมานด์ยังดี ต่างกับธุรกิจขนาดเล็กที่มียอดขายต่ำกว่า 100 ล้านบาท กลุ่มนี้ยังต้องรอการฟื้นตัว” นายสุรัตน์กล่าว