TREIT ตั้งเป้าลงทุนสินทรัพย์ทั้งไทย-เทศ หนุนโตเพิ่มปีละ 2-3 พันล้าน

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน หรือ “ทีรีท” (TREIT) ประกาศความสำเร็จในการที่ผู้ถือหน่วยทรัสต์อนุมัติให้เข้าทำการลงทุนในทรัพย์สินคุณภาพจากกลุ่มบริษัทไทคอน มูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท โดยเป็นทรัพย์สินคุณภาพสูงที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์และมาพร้อมผู้เช่าที่มีชื่อเสียงระดับโลก มั่นใจช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และศักยภาพพอร์ตทรัพย์สินในมือ ดันสิ้นปีเติบโตตามเป้าและมอบผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยได้อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำการเป็น“กองทรัสต์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย” พร้อมแผนลุยลงทุนในทรัพย์สินที่มีคุณภาพทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และมองหาโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพการเติบโต ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการที่มั่นคง เพื่อตอบสนองแนวโน้มการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายอีอีซี และอุตสาหกรรม 4.0 ของภาครัฐ โดยได้ ตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่องกว่า 2,000- 3,000 ล้านบาทต่อปี

นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ TMAN ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน หรือ ทีรีท (TREIT) เปิดเผยว่า หลังจากการควบรวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่ม TICON เข้าสู่กองทรัสต์ทำให้TREIT เป็นกองทรัสต์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ทั้งสิ้นประมาณ 32,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีจำนวนทรัพย์สินที่เป็นอาคารโรงงานและคลังสินค้ารวมทั้งสิ้น 489 ยูนิต โดยเป็นทรัพย์สินที่ถือครองสิทธิ์ 69% และสิทธิการเช่า 31% ซึ่งเป็นทรัพย์สินคุณภาพสูงและกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์เพื่อการอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ อยุธยา ปทุมธานี สมุทรปราการ และพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี โดยเป็นทรัพย์สินที่มาพร้อมผู้เช่าที่เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ โลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ส่งผลให้มีการกระจายรายได้ของผู้เช่าแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของรายได้ อีกทั้งยังมีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) เฉลี่ยอยู่ที่79%

“ภาพรวมการดำเนินงานของกองทรัสต์ในปีนี้ ทีรีทสามารถบริหารจัดการกองทรัสต์ให้มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งตลอด 6เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการสร้างความเคลื่อนไหวเพื่อเสริมศักยภาพและสร้างความน่าสนใจต่อนักลงทุนให้แก่กองทรัสต์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การเสนอขายและออกหุ้นกู้ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ตลอดจนการไปร่วมโรดโชว์สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น และการันตีความน่าเชื่อถือด้วยการได้รับการปรับอันดับเครดิตของกองทรัสต์มเป็นA(tha) กำหนดที่ระดับคงที่ (Stable) ณ ต้นปีที่ผ่านมา”

สำหรับในครึ่งปีหลัง 2561 กองทรัสต์ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในทรัพย์สินที่มีคุณภาพเพิ่มเติม ล่าสุดได้รับอนุมัติจากผู้ถือหน่วยทรัสต์ในที่ประชุมวิสามัญครั้งที่ 1/2561 ให้เข้าลงทุนในทรัพย์สินของกลุ่มไทคอน โดยทรัพย์สินประกอบไปด้วยอาคารโรงงานและคลังสินค้า จำนวนทั้งสิ้น 58 ยูนิต ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของภาคอุตสาหกรรมกว่า11 ทำเลและมีอัตราเช่าเฉลี่ยอยู่ที่89.7% และลงทุนในกรรมสิทธิของทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งปัจจุบันเป็นสิทธิการเช่า จำนวน 23 ยูนิต รวมมูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ทีรีทเป็นกองทรัสต์อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 34,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 12% จากสิ้นปี 2560 นับเป็นการเสริมแกร่งให้กับพอร์ตของทีรีทได้เป็นอย่างดี ด้วยฐานผู้เช่าขนาดใหญ่จากหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดความสนใจของนักลงทุนจากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ทีแมนได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบริหารจัดการกองทรัสต์ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

“ผู้จัดการกองทรัสต์ คาดว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ เช่น นโยบายอุตสาหกรรม 4.0 รวมถึงนโยบายพัฒนาพื้นที่เขตอีอีซีของภาครัฐ ตลอดจนความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนที่กำลังฟื้นตัว เราจึงเตรียมแผนในการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 มีแผนในการนำสินทรัพย์คุณภาพทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติมในกองทรัสต์ ซึ่งไม่ได้จำกัดการลงทุนเฉพาะทรัพย์สินในกลุ่มไทคอนเท่านั้น แต่ยังพิจารณาการลงทุนทรัพย์สินคุณภาพจากนอกกลุ่มด้วย นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้แก่กองทรัสต์ ผ่านวิธีการลงทุนในลักษณะต่างๆ เช่น การขายและเช่ากลับ (Sale & Leaseback) การเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินโดยการปรับปรุงคุณภาพทรัพย์และพื้นที่เช่า (AssetEnhancement Initiative) ฯลฯ ภายใต้การบริหารงานโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานที่เปี่ยมด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์ผนวกกับทิศทางการดำเนินธุรกิจเชิงรุก เราเชื่อว่าแผนการดำเนินงานที่มั่นคงของทีรีท จะช่วยผลักดันให้กองทรัสต์มีการเติบโตตามเป้าที่2,000 – 3,000 ล้านบาทต่อปี และก้าวสู่การเป็นกองทรัสต์อุตสาหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในระดับอาเซียนให้ได้”นายพีระพัฒน์กล่าว

Advertisment