โบรกฯ เชียร์ซื้อ “BJC-M-MINT” อ้าแขนรับมาตรการรัฐ

An electronic board shows stock movements at a private trading firm in Bangkok on June 18, 2012. Asian markets surged on June 18 and the euro rose after Greek pro-austerity parties won enough votes to form a government, but optimism it will stay in the eurozone was tempered with warnings that the future remains uncertain. AFP PHOTO/ Nicolas ASFOURI

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันที่ 17 ก.ค.62 ปิดตลาดที่ 1,718.85 จุด ลดลง 9.13 จุด หรือลดลง 0.53% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 62,632.00 ล้านบาท โดยตลาดหุ้นปิดลบต่อเนื่องจากวันจันทร์ทำการ (15 ก.ค.62) และมูลค่าการซื้อขายเริ่มเข้าสู่ระดับปกติ หลังจากช่วงที่ผ่านมาการซื้อขายปรับขึ้นสูงถึงระดับ 7 หมื่นล้านบาท

ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มที่กดดันตลาดมากที่สุด โดยส่งผลให้ SET Index ลดลง 2.80 จุด โดยหุ้นกลุ่มย่อยในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมีที่ได้รับแรงกดดันมาจากการที่อิหร่านต้องการเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการขาย (supply) น้ำมันดิบโลกในส่วนของอิหร่านกลับเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง

รวมถึงได้รับแรงกดดันจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ส่อแววรุนแรงขึ้น หลังประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ชี้ว่าการเจรจาการค้ากับจีนไม่มีความคืบหน้า และขู่จะเก็บภาษีกับจีนอีก 3.25 แสนล้านเหรียญ

ส่วนกลุ่มโรงกลั่นได้รับแรงกดดันจากการที่พายุเฮอริเคนที่อ่าวเม็กซิโกจบลง ซึ่งส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับลดลงและกระทบกับหุ้นในกลุ่ม เช่น PTTGC ลดลง 1.98% และ IRPC ลดลง 3.76% และสุดท้ายกลุ่มโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มโรงกลั่นปรับลดลงเช่นกัน เช่น GPSC ลดลง 4.58% เนื่องจากราคาหุ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับขึ้นค่อนข้างสูง ส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไร (take profit) ออกมา

นอกจากนี้ กลุ่มที่กดดันตลาดรุนแรงอีกกลุ่มคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ที่ส่งผลให้ SET Index ลดลง 2-3 จุด โดยชี้ว่ากลุ่มกองทุนรวมอสังหาฯ ถูกเทขายต่อเนื่องตั้งแต่วันจันทร์ทำการ หลังต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ปรับขึ้นสูงนำตลาดกว่า 23% ในขณะที่ SET Index ปรับขึ้นเพียง 10% เท่านั้น ส่งผลให้ถูกขายทำกำไรออกมาเช่นกัน โดยเฉพาะ FTREIT ลดลง 11.46% และ TLGF ลดลง 7.83%

ขณะที่กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในวันพรุ่งนี้ (18 ก.ค.62) มองแนวรับที่ 1,715 จุด หากเคลื่อนไหวหลุดแนวรับแรก มองแนวรับถัดไปที่ 1,700 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,740 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน จากปัจจัยแวดล้อมภายนอกประเทศเชิงลบที่ปกคลุมจึงแนะนำหุ้นกลุ่มที่อิงกับปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์จากการกระตุ้นการอุปโภคและบริโภคจากมาตรการรัฐ ได้แก่ BJC ราคาเป้าหมาย 61.00 บาท M ราคาเป้าหมาย 84.00 บาท และ MINT ราคาเป้าหมาย 47.00 บาท