ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า หุ้นสหรัฐและหุ้นทั่วโลกทรุดหนัก นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพราะกังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ทำไมอยู่ๆ ถึงคิดแบบนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร ที่จริงแล้วความกลัวที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยนั้น คงมาถามนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้
เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจจะชี้แค่ภาวะการชะลอตัว และเชื่อว่ามีเครื่องมือทางการเงินและการคลังมาพยุงเศรษฐกิจได้ และไม่ซ้ำรอยปี 2008 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจนนักลงทุนตกใจมาจากด้านตลาดการเงิน คือเมื่อนักลงทุนกังวลต่อเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งจากภาษีนำเข้าของ ปธน. ทรัมป์ และจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอ ทำให้นักลงทุนแห่ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งหนีไม่พ้นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
เมื่อมีความต้องการมาก ราคาพันธบัตรก็สูงขึ้น หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (bond yield) ก็ลดลง และนักลงทุนมีความเชื่อว่า การถือพันธบัตรระยะยาว เช่น 10 ปี ควรจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าการถือระยะสั้น เช่น 2 ปี แต่เมื่อความกลัวเกิด นักลงทุนแห่ซื้อพันธบัตรระยะยาว ส่งผลให้ผลตอบแทนขณะนี้ต่ำกว่าระยะสั้น
ซึ่งเป็นภาวะไม่ปกติ รูปของอัตราผลตอบแทนหักหัวลง เรียก inverted yield curve ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตร 10 และ 2 ปีติดลบ และเป็นสัญญาณว่า เมื่อไหร่ที่ส่วนต่างติดลบ เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า ซึ่งยิ่งกดดันการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอีก โดยให้มุมมองดังนี้
1. เรื่อง inverted yield curve ไม่ใช่เรื่องใหม่ ความกลัวนี้มีพูดมานาน แม้เพิ่งจะมาติดลบ แต่ได้คาดกันไว้อยู่แล้ว ไม่น่าช๊อกนาน
2. ปธน.ทรัมป์ คงมีวิธีจัดการไม่ให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ เพราะสามารถจัดการเวลาและมูลค่าภาษีนำเข้า เพื่อลดแรงกดดัน
3. เฟดพร้อมลดดอกเบี้ย ทำ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
4. ผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงมาจากสภาพคล่องมีสูง เนื่องจากผล QE 1-3 ในอดีต ไม่น่าจะคล้ายสัญญาณวิกฤติ
5. ระวังตลาดปรับตัวลงต่อได้อีก เพราะเมื่อนักลงทุนตกใจ มักขายก่อน คิดทีหลัง แต่เมื่อหมดรอบขายสั้นๆ นี้ เขาจะกลับมาลงทุนได้ใหม่ ผมไม่มองวิกฤติ แค่ชะลอ ตลาดปรับฐานระยะสั้น