ผู้ค้าตุนเงินสดรับแห่ขายทอง ปมเกาหลี “ระอุ” ดันราคาชี้นิวไฮ 2.14 หมื่นบาท

ผู้ค้าทองรายใหญ่เร่งตุนเงินสด-หาโรงหลอมต่างประเทศจ้าละหวั่น ราคาทองทุบสถิติพุ่งต่อเนื่อง คนไทยแห่ขายทองแท่ง-ทองรูปพรรณ แรงส่งปัญหาคาบสมุทรเกาหลีตึงเครียด ดันราคาวิ่งไปต่อ ปรับเป้าพุ่ง 2.14 หมื่นบาท

นายกฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเอ็มทีเอสโกลด์ แม่ทองสุก เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า นับตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นักลงทุนไทยได้เริ่มหันมาขายทองคำกันอย่างคึกคัก หลังจากที่ราคายังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เนื่องมาจากปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ 1.การคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงเดือนกันยายน 2560 นี้ เพราะตัวเลขการจ้างงานออกมาไม่ค่อยดีนัก และเงินเฟ้อยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ประเมินไว้ และ 2.สถานการณ์ความตึงเครียดคาบสมุทรเกาหลี หลังจากที่เกาหลีเหนือยังคงมีการทดลองขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นไปตกในมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งมีการทดลองผลิตระเบิดไฮโดรเจนเพื่อบรรจุในขีปนาวุธข้ามทวีปด้วย ทำให้ทองกลับมากลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้งเมื่อเทียบกับการลงทุนด้านอื่น จึงทำให้ราคาปรับตัวขึ้น

กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ

โดยข้อมูลจากสมาคมค้าทองคำ พบว่า วันที่ 1 ส.ค. 2560 ราคาทองในไทย ขายออกทองแท่ง 96.5% อยู่ที่บาทละ 20,000 บาท และทองรูปพรรณ 96.5% อยู่ที่บาทละ 20,500 บาท ขณะที่ราคาทองคำโลกอยู่ที่ 1,267.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

แต่ล่าสุด ณ วันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา ราคาทองในไทยได้ปรับตัวขึ้นมา โดยทองแท่ง 96.5% อยู่ที่บาทละ 21,000 บาท ส่วนทองรูปพรรณ อยู่ที่บาทละ 21,500 บาท และราคาทองคำโลกอยู่ที่ 1,339.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

“คนไทยขายทองกันออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเป็นเดือนที่มีการขายเยอะที่สุดในรอบปีนี้ ส่วนเดือนกันยายน คนไทยก็ยังคงขายทองออกมาอีก ซึ่งยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะมากกว่าเดือนสิงหาคมหรือไม่ เพราะต้องดูปัจจัยคาบสมุทรเกาหลีเป็นหลัก แต่เราเตรียมเงินสดพร้อมแล้ว ถ้าจะขาย ก็พร้อมรองรับแน่นอน” นายกฤชรัตน์กล่าว

ทั้งนี้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายกฤชรัตน์ได้ปรับมุมมองราคาทองคำในปีนี้ โดยคาดว่าจะสามารถขึ้นไปสูงสุดได้ที่บาทละ 21,400 บาท (ราคาทองโลก 1,375 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์) จากก่อนหน้านี้ที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ราวบาทละ 21,000 บาท

นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทออสสิริส กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมเงินสดไว้รองรับนักลงทุนที่จะนำทองรูปพรรณและทองคำแท่งมาขายในช่วงนี้ โดยคาดว่าหลังจากนี้สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาทองคำยังคงเป็นแนวโน้มขาขึ้น ทำให้นักลงทุนบางส่วนทยอยขายออกมา ทั้งนี้บริษัทได้ปรับเป้าหมายราคาทองในไทยขึ้นเป็นบาทละ 21,400 บาท (ราคาทองโลก 1,370 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์) จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะอยู่ระดับบาทละ 21,000 บาท (1,339.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์)

“สิ่งที่บอกได้ก็คือ ราคาทองจะไม่ปรับตัวลดลงไปมากหลังจากนี้ เพราะแม้ทองจะทำนิวไฮ (สถิติสูงสุดใหม่) ทุกวันแต่ก็เป็นไปในลักษณะค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้น ดังนั้นช่วงนี้อาจจะมีแรงขายออกมาบ้างจากนักลงทุนที่เคยติดทองก่อนหน้านี้ แต่ในที่สุดเชื่อว่าจะมีกลุ่มที่กลับเข้ามาซื้อใหม่อีกครั้งเพราะทองคำมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น” นายบุญเลิศกล่าว

นายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า นับตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค.-ต้นเดือนกันยายน พบว่านักลงทุนไทยได้ทยอยขายทองคำแท่งผ่านทั้งช่องทางออนไลน์ของบริษัท รวมถึงการขายทองรูปพรรณผ่านหน้าร้าน “ฮั่วเซ่งเฮง” ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจของบริษัทอย่างหนาตามากขึ้น บริษัทจึงต้องตุนเงินสดสำหรับจ่ายให้นักลงทุนไทยที่มาขายคืนทองคำ อีกทั้งยังต้องเตรียมจัดหาโรงหลอมในต่างประเทศเพื่อนำทองที่รับซื้อไปเข้าสู่ระบบการหลอมและจำหน่ายในต่างประเทศอย่างเร่งด่วนด้วย เนื่องจากขณะนี้โรงหลอมทองต่างประเทศมีกำลังการผลิตค่อนข้างเต็ม เพราะนักลงทุนต่างประเทศก็อยู่ในสถานการณ์ที่กำลังเทขายทองเช่นกัน

“สถานการณ์ราคาทองตอนนี้ถือว่าปรับตัวขึ้นจนสูงกว่าที่เราประเมินไว้ ดังนั้นจึงต้องขยับเป้าหมายใหม่ โดยรอบนี้ประเมินโอกาสที่ราคาทองจะวิ่งไปสูงสุดที่บาทละ 21,100 บาท (ราว 1,350 ดอลลาร์สหรัฐ) และถ้าทะลุก็จะไปต่อที่บาทละ 21,200 บาท (1,360 ดอลลาร์สหรัฐ)” นายธนรัชต์กล่าว