สรุป 10 เหตุการณ์เด่น ในตลาดตราสารหนี้ไทย ปี 2562

คอลัมน์ สถานีลงทุน
โดย สุธาสินี เฉียงขวา สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย

ปี 2562 กำลังจะผ่านไป เหตุการณ์สำคัญและเรื่องราวน่าสนใจที่เกิดขึ้นในตลาดตราสารหนี้ไทยปีนี้มีอะไรบ้าง ?

1.พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 22 พ.ค. โดยมีสาระสำคัญให้กองทุนรวมตราสารหนี้ถูกจัดเก็บภาษีจากดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 ส.ค. ผลคือตราสารหนี้ที่กองทุนซื้อเข้ามาหลังจากวันนี้จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 15 จากดอกเบี้ยที่ได้รับ

2.บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป ออก green bond เมื่อ 24 พ.ค. มูลค่า 13,000 ล้านบาท เป็น green bond รุ่นแรกที่ออกภายใต้เกณฑ์การเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของ ก.ล.ต. และยังเป็นครั้งแรกที่เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ในประเทศ

3.ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 62 นับเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 11 ปี จาก 2.5% เป็น 2.25% และมีการปรับลดอีก 2 ครั้งในเดือน ก.ย. และ ต.ค. ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐอยู่ที่ 1.75%

4.วันที่ 7 ส.ค. กนง.มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ เม.ย. 2558 จาก 1.75% เป็น 1.5% และมีมติปรับลดลงอีกครั้งในการประชุมรอบเดือน พ.ย. ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ในระดับต่ำที่สุดที่ 1.25% นับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐ

5.อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ government bond yield รุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี แตะระดับต่ำสุดในประวัติการณ์เมื่อ ส.ค.ที่ระดับ 1.34% และ 1.43%

6.เป็นครั้งแรกที่มีการออก gender bond โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาเมื่อ 23 ส.ค. มูลค่า 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำหน่ายแก่นักลงทุนต่างประเทศเพื่อนำเงินมาปล่อยสินเชื่อให้แก่กิจการ SMEs ที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของหรือผู้บริหาร นับเป็น gender bond ตัวแรกของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดย gender bond เป็นส่วนหนึ่งของ social bond

7.เงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 6 ปี ที่ 30.42 บาท/ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 13 ก.ย. (นับตั้งแต่ 14 มิ.ย. 2556 ที่ระดับ 30.45 บาท/ดอลลาร์) โดยเงินบาทเป็นสกุลเงินเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่มีการแข็งค่าที่สุดในเอเชีย หลังจากนั้น ได้ทำสถิติแข็งค่ามากที่สุดรอบใหม่อีกหลายครั้ง และรอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ระดับ 30.15 บาท/ดอลลาร์

8.perpetual bond รุ่นแรกของไทยที่มีการใช้สิทธิเรียกไถ่ถอนก่อนกำหนด (call option) เมื่อสิ้นเดือน ต.ค. มูลค่า 15,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ในปีนี้ perpetual bond ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเสนอขายรวม 5 รุ่น มูลค่าเสนอขาย 40,000 ล้านบาท ในปี 2562 ทำให้มูลค่าคงค้างของ perpetual bond เพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาท สูงสุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่มีการออก perpetual bond ในประเทศไทย คิดเป็น 3% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว

9.ยอดการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 1 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 18 พ.ย. 2562

10.เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2562 หลังจากก่อนหน้านี้ไหลเข้าสุทธิต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน ในปีนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกสุทธิจากตลาดตราสารหนี้ไทยกว่า -85,282 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 22 พ.ย.) โดยเป็นยอดซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาวแต่ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้มีผลให้เกิดความผันผวนในตลาดแต่อย่างใด

ในปี 2562 ที่ผ่านมายังเกิดเหตุผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้จำนวน 2 ราย ได้แก่ บมจ.พีพี ไพร์ม ผิดนัดชำระหุ้นกู้ มูลค่า 319.5 ล้านบาท และ บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น ที่ผิดนัดชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารจนเป็นเหตุให้เกิด cross de-fault ในหุ้นกู้ มูลค่า 1,219 ล้านบาท ปัจจุบันทั้ง 2 บริษัทได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ให้ขยายระยะเวลาการไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไป นอกจากนี้ ผู้ออกหุ้นกู้อีกราย คือ บมจ.เอเชีย แคปปิตอลฯ ได้ขอเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดสิทธิโดยขยายระยะเวลาวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ มูลค่า 768.6 ล้านบาท ออกไปอีก 1 ปี จะเห็นได้ว่าแม้ตลาดตราสารหนี้จะเติบโตขนาดไหนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบทางลบต่อนักลงทุน นักลงทุนสายหุ้นกู้จึงควรศึกษาถึงความเสี่ยงและเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนดังคำกล่าวที่ว่า การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน


แล้วปีหน้าตลาดตราสารหนี้ไทยจะมีความเคลื่อนไหวอะไรให้ต้องจับตา เราต้องมาติดตามกันต่อไป