“เอเซีย พลัส” หวั่นปมสหรัฐ-อิหร่านฉุดดัชนีร่วง 1,530 จุด

“บล.เอเซีย พลัส” หวั่นปมขัดแย้งสหรัฐ-อิหร่านขยายวงกว้างกระทบดัชนีหุ้นรูด 1,500 จุด จากจุดต่ำสุดปัจจุบันที่ประเมินไว้ที่ 1,530 จุด ชี้แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี’63 ยังมีสารพัดปัจจัยเสี่ยงกดดัน “สงครามการค้า-การเมืองไทย-ภัยแล้ง” ลุ้นดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ 1,675 จุด กำไรบจ.โต 1 ล้านล้านบาท

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ในระยะสั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) มีโอกาสที่จะหลุด 1,500 จุด หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่านขยายวงกว้างขึ้น หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกี่ยวกับการเมืองไทย เช่น มีการเดินประท้วงบนท้องถนน เป็นต้น จากที่ปัจจุบันคาดว่า SET Index ปี 2563 มีความเสี่ยงขาลง (Downside) ต่ำสุดอยู่ที่ 1,530 จุด

ในส่วนปัจจัยความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศเรามองว่ามีโอกาสยืดเยื้อ เนื่องจากมีหลายประเทศที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้ โดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับสหรัฐและฝ่ายที่เห็นด้วยกับอิหร่าน จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการหารือเรื่องดังกล่าวระหว่าง

ขณะที่ปี 2563 ตลาดหุ้นไทยยังต้องเจอแรงกดดันหลายเรื่อง โดยในส่วนของภายนอกนั้นมีความเสี่ยงจากประเด็นเรื่องสงครามการค้าจากประเทศคู่ค้าอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐกับจีน ซึ่งจะกระทบต่อภาคส่งออกของไทยให้ชะลอตัว รวมถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน

ด้านความเสี่ยงภายในประเทศมีประเด็นความร้อนแรงทางการเมืองที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาล รวมถึงปัญหาภัยแล้งที่ในปีนี้จะหนักสุดในรอบ 40 ปี กระทบภาคอุตสาหกรรมและการบริโภคประชาชนในภาคเกษตรกรรม นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการปรับเปลี่ยนมาตรฐานบัญชีใหม่ที่ถือเป็นความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรของตลาดด้วย

“ปี 2563 ตลาดยังเผชิญกับปัจจัยกดดันหลายเรื่อง ทั้งภายในและภายนอก จากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดเชื่อว่าจะกดดันเงินทุนต่างชาติชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทย และในปี 2563 เป็นปีแรกที่ขาดเม็ดเงินจากกองทุน LTF เข้ามาช่วยหนุนตลาดด้วย“ นายเทิดศักดิ์ กล่าว

สำหรับปีนี้ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่ที่ราว 1 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) 95.71 บาท หรือเติบโต 3.9% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าตลาดส่วนใหญ่เกิดจากฐานกำไรสุทธิปี 2562 ที่ต่ำกว่าปกติ เช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มพลังงาน และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

ด้านกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) ในปี 2563 ประเมินแบบอนุรักษ์นิยม (conservative) ไว้ในช่วงอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ที่ 16.5-17.5 เท่า เมื่อคำนวณกับ EPS ปีนี้ที่ 95.71 บาท/หุ้น จะได้กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index บริเวณ 1,579 จุดเป็นกรอบล่าง และมี 1,675 จุด เป็นกรอบบน โดยมีโอกาสที่จะปรับขึ้น (Upside) เปิดกว้างสุดจากปัจจุบันราว 6.8%

นายเทิดศักดิ์ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 1/63 นี้ เนื่องจากสถานการณ์ในปีนี้มีความเสี่ยงจากหลายปัจจัย ดังนั้นการลงทุนจึงต้องเน้นหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เช่น BGRIM PTT LH AP ROBINS และ CPF เป็นต้น

“การลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ชนะ SET Index จะต้องเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีเป็นหลัก ขณะที่หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยที่เข้ามากระทบในช่วงสั้น ได้แก่ ปัจจัยความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่านแนะนำกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี ปัจจัยภัยแล้งแนะนำหุ้นผลิตน้ำ และปัจจัยโรคระบาดหมูแนะนำกลุ่มเกษตรและอาหาร นอกจากนี้ เราแนะนำเลือกหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลดี (High Dividend Yield) ไว้ในพอร์ตประมาณ 5-6% เพราะมองว่าโอกาสที่ดัชนีปีนี้จะปรับขึ้น (Upside) มีจำกัด” นายเทิดศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มที่แนะนำหลีกเลี่ยง ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นและส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น เช่น สายการบิน และการเดินเรือ รวมถึงกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน