แห่ปรับพอร์ตเพิ่มลงทุนต่างประเทศ เมื่อตลาดหุ้นไทย (ดู) ไร้อนาคต

ตลาดหุ้นไทย

ว่ากันว่า หุ้นไทยตอนนี้ไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย นักลงทุนต่างชาติไม่สนใจ ด้วยเหตุผลที่ราคาหุ้นค่อนข้างแพง มูลค่าตลาด (valuation) เริ่มตึงตัว ซื้อขายกันที่อัตราส่วนของราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (ค่า P/E) สูงกว่า 20 เท่า บรรดานักวิเคราะห์จึงคาดการณ์กันว่า โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) จะปรับขึ้นในระยะถัดไป เริ่มมีจำกัดแล้ว แม้ว่าช่วง 1 เดือนให้หลัง นับจากวันที่ SET index ลงไปจุดต่ำสุดในรอบ 8 ปีที่ 969 จุด เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2563 จากนั้นหุ้นไทยก็วิ่งขึ้นต่อเนื่องเกือบ 40% ก็ตาม

ฝรั่งถือหุ้นไทยต่ำสุดรอบ 17 ปี

โดย “สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย บอกว่า สัดส่วนการถือครองหลักทรัพย์โดยผู้ลงทุนต่างประเทศในปัจจุบันที่ลงทุนผ่านบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ (NVDR) อยู่ที่ 27% ต่ำสุดในรอบ 17 ปี รวมถึงทิศทางเงินลงทุนจากต่างประเทศ (ฟันด์โฟลว์) ยังเป็นการขายสุทธิต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี

“ตอนนี้ไม่ต้องหวังพึ่งพาให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนหุ้นไทยเลย เพราะเราไม่มีหุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นเศรษฐกิจใหม่ ที่จะได้รับประโยชน์ในโลกหลังโควิด-19 มีแต่หุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจแบบเดิม อีกทั้งอัตรากำไรจากการดำเนินงาน ยังลดลงต่อเนื่อง 3-5 ปีให้หลัง”

เพิ่มน้ำหนักลงทุนต่างประเทศ

“วรสินี เศรษฐบุตร” หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ บอกว่า ช่วงนี้ธนาคารแนะนำลูกค้ารายใหญ่ (กลุ่ม wealth) ให้ลงทุนหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก โดยลงหุ้น 60-70% เน้นกระจายในหุ้นต่างประเทศทั่วโลก ทองคำ 5-10% และอื่น ๆ 20-35%

โดยแนะนำลูกค้าให้ลงทุนผ่านกองทุน และเน้นกองทุนหุ้นต่างประเทศที่เกาะกระแสใหญ่ของโลก (mega trend) เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ากองทุนที่ลงทุนใน mega trend ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีประมาณ 30-50% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ขณะที่ตลาดหุ้นไทย -13.71%

“หุ้น mega trend จะประกอบไปด้วยธุรกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการปรับพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น Alibaba Netflix และ Amazon เป็นต้น ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีจุดอ่อนที่เศรษฐกิจพึ่งพิงกับการท่องเที่ยวและส่งออกค่อนข้างสูง รวมถึง valuation ของตลาดที่ปรับขึ้นค่อนข้างแพง จึงประเมินว่าในปี 2563 ตลาดหุ้นไทยเหลือโอกาสปรับขึ้นจำกัดที่บริเวณประมาณ 1,400 จุดเท่านั้น”

ถัดมา “สันติ ธนะนิรันดร์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง กล่าวว่า สำหรับพอร์ตลงทุนระยะยาว กองทุนบัวหลวงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นประมาณ 75% โดยแนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศมากกว่า อาทิ ตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นจีน ที่มีหุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นการแพทย์ที่เกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีน เป็นต้น

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ในระยะสั้นเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ล้วนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพราะส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแบบดั้งเดิม ไม่ได้มีธุรกิจเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากโควิด-19 เหมือนในต่างประเทศ

“ตลาดหุ้นสหรัฐกับตลาดหุ้นจีน ยังมีสัดส่วนหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจใหม่มากกว่าตลาดหุ้นไทย และที่ผ่านมาการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ขณะที่หุ้นไทยปีนี้คาดผลตอบแทนที่ 6-7%”

ลุ้นฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหลัง ส.ค.

อย่างไรก็ตาม ระยะข้างหน้า “เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ยังมองว่ามีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยหลังเดือน ส.ค.นี้ โดยมีมุมมองเชิงบวกว่าจะมีกระแสเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

“แม้ว่า valuation ของตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นค่อนข้างแพง แต่ยังมีปัจจัยหักล้าง ซึ่งก็คือสภาพคล่องที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างอัดฉีดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ โดยเรามองเป้าดัชนีปีนี้ที่ 1,410 จุด”

ยังต้องลุ้นกันต่อไปว่าฟันด์โฟลว์จะกลับเข้ามาจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ตลาดหุ้นไทยคงต้องปรับตัวให้เร็ว สร้างเสน่ห์ให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับเข้ามา