บล.เอเซีย พลัส เปิดโผ 6 หุ้นเด่นน่าลงทุนเดือนสิงหาคม

ตลาดหุัน

เปิดโผ 6 หุ้นเด่น น่าลงทุนเดือนสิงหาคม 2563 ‘บล.เอเซีย พลัส’ แนะนำซื้อ ‘AP-INTUCH-MCS-CPF-CPALL-BEM’ เก็งฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลกลับเข้าซื้อหุ้นไทยปลายเดือนนี้

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในเดือนสิงหาคมนี้ แนะนำนักลงทุนไม่ประมาท เลือกหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี และเข้าลงทุนให้ถูกจังหวะเวลาเป็นหลัก โดยแนะนำซื้อ 6 หุ้นเด่น น่าลงทุน ได้แก่

AP คาดการณ์กำไรไตรมาส 2 ออกมาสูงถึง 1.17 พันล้านบาท เติบโต 153% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ 90% (QoQ) พร้อมคาดหวังอัตราเงินปันผล (Dividend Yield) สูงเกือบ 7% ต่อปี แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 7.70 บาท

INTUCH บริษัทลูกในเครือ ได้แก่ ADVANC และ INTUCH มีความเสี่ยปรับประมาณการค่อนข้างน้อย อีกทั้ง Dividend Yield เกินปีละ 4% ต่อเนื่อง เหมาะกับการลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนสูง แนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 70.00 บาท

MCS คาดการณ์กำไรไตรมาส 2 เติบโต 71% YoY จากงานในมือ (backlog) ที่มีมูลค่าสูงกว่า 1.2 แสนตัน ทำให้รายได้ในอนาคตมีความชัดเจน และสามารถสร้างการเติบโตได้ นอกจากนี้ Dividend Yield อยู่ที่ 6.4% แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 17.70 บาท

CPF แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2563 และ 2564 มีโอกาสเติบโตขึ้น 16.8% YoY และ 4.7% YoY ตามลำดับ จากธุรกิจสุกรในไทย เวียดนาม และกัมพูชาที่เติบโตชัดเจน จากปัญหาสุกรขาดแคลนในภูใิภาคเอเชีย โดยปัจจัยดังกล่างส่งผลทางอ้อมให้การบริโภคไก่จากต่างประเทศปรับขึ้น ทดแทนการบริโภคสุกร แนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท

CPALL แม้กำไรไตรมาส 2/63 จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากทั้งผลกระทบการล็อกดาวน์ และการประกาศเคอร์ฟิว อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 มีความหวังจากการฟื้นตัวของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) และการกลับมาเปิดสาขา ทั้งนี้ แม้จะมีความเสี่ยงถูกปรับลดกำไรปีนี้ลง แต่ราคาเป้าหมายยังให้ไว้ไม่ต่ำกว่า 75.00 บาท โดยแนะนำเข้าซื้อในช่วงประกาศกำไรไตรมาส 2 ที่ราคาน่าจะปรับลดลง

BEM จากที่ความต้องการใช้รถไฟฟ้าเริ่มกลับมา ส่งผลให้รายได้บริษัทเริ่มกลับเข้ามาเช่นกัน อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งคาดว่าจะดันราคาเป้าหมายปีนี้ขึ้นไปอีก 2 บาท จากระดับปัจจุบันที่ 63.00 บาท

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในเดือนสิงหาคม 2563 ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่ามีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนใน ตลาดหุ้นไทย เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก การอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางประเทศต่างๆ รวมถึงสัญญาณชะลอการขายหุ้นในกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) ที่ชะลอลง

นอกจากนี้ สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติในปัจจุบันยังต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 26.13% แบ่งเป็นการถือครองทางตรงประมาณ 20% และอีก 5% เป็นการถือผ่าน บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (NVDR) ดังนั้น เชื่อว่ามีโอกาสที่ในระยะถัดไปฟันด์โฟลว์จะกลับมา หรือมีโอกาสต่ำที่ต่างชาติจะลดการถือครองหุ้นไทยลงอีก

“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราคาดว่าใน 3 สัปดาห์แรกจะยังไม่เห็นฟันด์โฟวล์กลับเข้ามา เพราะนักลงทุนยังไม่กล้ารับความเสี่ยง โดยคาดว่าหลังประกาศจีดีพีไตรมาส 2 และหลังช่วงประกาศงบงวดไตรมาส 2/63 ของบริษัทจดทะเบียนเป็นต้นไป น่าจะมีโอกาสได้เห็นฟันด์โฟลว์กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น” นายภราดร กล่าว

ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทจดทะเบียนทยอยประกาศกำไรไตรมาส 2 ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2563 ลงมาอยู่ที่ 62.45 บาท/หุ้น จากเดิมคาดว่า EPS ปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 64.00 บาท หรือคิดเป็นคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปีที่ 6.8 แสนล้านบาท รวมถึงยอมรับว่ามีความเสี่ยงที่กำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะออกมาไม่ถึงระดับ 60.00 บาท/หุ้น