หุ้นโรงแรมติดลบยกแผง “เราเที่ยวด้วยกัน” ปลุกไม่ขึ้น

ท่องเที่ยวไทย
Photo by Mladen ANTONOV / AFP

โบรกฯประเมินกำไรสุทธิหุ้นกลุ่มโรงแรมปี 2563 อ่วมพิษ “โควิด-19” ขาดทุนบักโกรกรวม 1.4 หมื่นล้านบาทติดลบกว่า 200% จากปี 2562 แนวโน้มครึ่งปีหลัง “ไมเนอร์-เซ็นทารา” มีแววฟื้นตัวดีขึ้น-ขาดทุนสะสมลดลง อานิสงส์รัฐคลายล็อกดาวน์หนุนรายได้ธุรกิจอาหารในเครือ ส่วน “เอราวัณ” ส่อฟื้นตัวช้า เหตุไร้รายได้ธุรกิจอื่นช่วยหนุน “ฟินันเซีย ไซรัส” ชี้หุ้นโรงแรมได้อานิสงส์กระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศน้อย เหตุรายได้ส่วนใหญ่อิงนักท่องเที่ยวต่างชาติ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกปี 2563 หุ้นกลุ่มโรงแรมได้รับผลกระทบอย่างหนักจากไวรัสโควิด-19 ที่กดดันตัวเลขนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศหดตัวลง โดยเฉพาะในไตรมาส 2/63 ที่มีการปิดประเทศ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นกำลังซื้อหลักหายไป

เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่า สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของกลุ่มโรงแรมล้วนออกมาติดลบ นำโดย บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ที่กำไรสุทธิครึ่งปีแรกติดลบไป 10,220 ล้านบาท ถัดมา บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) ติดลบ 727 ล้านบาท และ บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ติดลบ 510 ล้านบาท จากปี 2562 ที่มีกำไร 10,000 ล้านบาท 400 ล้านบาท และ 1,700 ล้านบาท ตามลำดับ

ทั้งนี้ จะเห็นว่าผลประกอบการของ MINT ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจในต่างประเทศสูงถึง 50% อย่างไรก็ดี MINT และ CENTEL เป็นบริษัทที่มีรายได้ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจอาหาร ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/63 ของทั้ง 2 บริษัท เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2/63 อานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

หุ้นโรงแรม

“ภาพรวมของกลุ่มโรงแรมในไตรมาส 3 เริ่มดีขึ้นจากภาระขาดทุนที่น้อยลง แต่กำไรสุทธิยังกลับมาเป็นบวกได้ยาก และยังต้องติดตามดูต่อในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งอาจจะเห็นการฟื้นตัวเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QOQ) แต่จะหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) รวมถึงผลประกอบการทั้งปี 2563 คาดว่าจะออกมาติดลบทุกตัว”

ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือของ MINT คาดว่าจะขาดทุนต่อเนื่องอีกประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท และจะส่งผลให้ทั้งปี 2563 มีผลขาดทุนสุทธิ 12,000-13,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดีจากพอร์ตรายได้ที่กระจายในหลากหลายประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมในเครือ NH Hotel Group ในประเทศยุโรป รวมถึงรายได้จากธุรกิจอาหาร ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาส 3 มีทิศทางที่ดีขึ้น จึงเชื่อว่า MINT ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ไปแล้ว โดยในเดือน ก.ค. 63 บริษัทได้ประกาศเพิ่มทุนผู้ถือหุ้นเดิม (right offering) และสามารถระดมทุนได้รวมมูลค่า 9,858 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงมาอยู่ที่ 1.6 เท่า

ขณะที่ ERW คาดว่าจะมีผลขาดทุนต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังนี้อีก 200-300 ล้านบาท และคาดว่าจะส่งผลให้ทั้งปี 2563 บริษัทจะขาดทุน 900-1,000 ล้านบาท โดย ERW เป็นบริษัทจดทะเบียนกลุ่มโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากที่สุด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพียงอย่างเดียว สุดท้าย CENTEL คาดว่าจะขาดทุนต่อเนื่องอีก 360 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าปี 2563 จะขาดทุน 860 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ในปี 2564 จะกลับมาทำกำไรได้ประมาณ 600-640 ล้านบาท

“หุ้นโรงแรมในปี 2563 มีความเสี่ยงเผชิญผลขาดทุนรวม 14,000 ล้านบาท หากเลือกลงทุนในกลุ่มนี้ เราแนะนำ MINT และ CENTEL ซึ่งมีรายได้จากธุรกิจอาหาร และมีโอกาสที่ผลประกอบการจะฟื้นตัว QOQ แม้ว่าราคาหุ้นในปัจจุบันจะปรับขึ้นสวนทางกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท แต่ระดับราคาปัจจุบันทั้งสองตัวอยู่ในระดับที่ไม่แพงมากเมื่อเทียบกับอดีต จึงแนะนำทยอยสะสม เมื่อราคาย่อตัวลงมา” นายวิจิตรกล่าว

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า เนื่องจากธุรกิจโรงแรมในประเทศ อิงกับนักท่องเที่ยวไทยเพียง 15-20% โดยส่วนที่เหลือประมาณ 80-85% หรือ 2 ใน 3 เป็นรายได้ที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังนั้น การกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ จึงไม่สามารถเติมเต็มส่วนที่หายไปได้

ทั้งนี้ บล.ฟินันเซียฯ คาดการณ์ผลประกอบการกลุ่มโรงแรมปี 2563 มีผลขาดทุนรวม 12,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีกำไร 9,200 ล้านบาท หรือขาดทุนประมาณ 200% โดยคาดว่า MINT จะขาดทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ERW ขาดทุนราว 700-800 ล้านบาท และ CENTEL ขาดทุนราว 1,000 ล้านบาท

ขณะที่การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น พบว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ราคาหุ้น MINT มีผลตอบแทนติดลบราว 40%, ERW ติดลบ 50% และ CENTEL ทรงตัว โดยนักลงทุนสามารถ “ถือเก็งกำไร” ตามจังหวะข่าวพัฒนาการวัคซีนโควิด-19 แต่ต้องขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้นไประดับหนึ่ง

“หุ้นกลุ่มนี้ใครมีสภาพคล่องพอสมควร ก็ถือลงทุนยาวได้ แต่เราแนะนำแค่ MINT กับ CENTEL เพราะมีรายได้จากธุรกิจอาหาร แต่ไม่แนะนำ ERW ซึ่งมีความเสี่ยงมากที่สุด เพราะมีรายได้ธุรกิจโรงแรมเพียงอย่างเดียว”