สภาพัฒน์ ชี้โควิดกระทบว่างงาน 7.5 แสนคน เร่งปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม

Photo by Raul ARBOLEDA / AFP

สภาพัฒน์ เร่งวางกรอบพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม หลังวิกฤตโควิด เล็งใช้เงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้าน ขับเคลื่อนแผนงาน ชี้โควิดกระทบไทยรุนแรง คนว่างงานเพิ่ม 7.5 แสนคน เผยอีก 3 ปี คนจนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น

นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิดการประชุมประจำปี 2563 พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” โดยกล่าวว่า การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหยุดการเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศ เกิดการย้ายฐานการผลิต ทำให้มีแรงงานตกงานจำนวนมาก

ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่ก็กลับภูมิลำเนา จึงกลับมาทบทวนเพื่อหาจุดแข็งในการผลักดันเพิ่ม และแก้ไขจุดอ่อนที่มีอยู่ โดยมีแนวคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มากขึ้น โดยเฉพาะการกระจายความเจริญออกไปในจุดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งจะพยายามใช้เงินกู้ที่มีอยู่ในการขับเคลื่อนตามแผนงาน

สำหรับเงินกู้ก้อน 4 แสนล้านบาท คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้มีการประชุมกันทุกสัปดาห์ แบ่งเป็น 4 ระยะ โดยระยะที่ 1 ได้รับการอนุมัติแล้ว 9.2 หมื่นล้านบาท อยู่ในขั้นตอนการเบิกจ่าย ส่วนเม็ดเงินที่เหลือจะทยอยออกในไตรมาส 4/2563 และไตรมาส 1-2 ปี 2564 ซึ่งจะทยอยออกมาเป็นระยะๆ เพื่อประเมินผลตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากใช้เงินหมดภายในครั้งเดียว จะไม่เหลือเงินใช้ในอนาคต

ทศพร ศิริสัมพันธ์
ทศพร ศิริสัมพันธ์

“กรณีการชุมนุมเพื่อแสดงจุดยืนทางการเมือง มองว่าหากมีปัจจัยความไม่แน่นอนอะไรเข้ามา ก็จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประเทศอยู่แล้ว โดยเฉพาะหากการเมืองไม่นิ่ง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอีกครั้ง จะทำให้การแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่เกิดจากผลกระทบของโควิด-19 ยากขึ้นไปอีก จึงอยากให้ทุกอย่างนิ่งก่อนสักระยะ เพื่อช่วยกันผลักดันนโยบายต่างๆ ให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นก่อน

หลังจากนั้นจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็กลับมาประเมินกันอีกครั้ง โดยในวันนี้ (21 กันยายน) จะมีการประชุมหารือในโครงการกระตุ้นการจ้างงาน ผ่านการออกเงินร่วมกันของเอกชนและรัฐคนละครึ่ง ซึ่งจะนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 22 กันยายนนี้” นายทศพร กล่าว

นายทศพร กล่าวว่า สศช. จัดการประชุมใหญ่ทางวิชาการขึ้นทุกปี เพื่อนำเสนอและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคม ในหัวข้อที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยในปีนี้ เนื่องจากเป็นระยะครึ่งทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 หรือช่วงครึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติระยะที่หนึ่ง (พ.ศ. 2561-2565)

สศช.ได้ติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการภาครัฐที่ดี โดยมีการวิเคราะห์และรายงานผลการพัฒนาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผลการพัฒนาตามตัวชี้วัดที่สำคัญต่างๆ ที่กำหนดในแผนฯ 12 ให้สาธารณชนได้รับทราบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีการพัฒนาต่างๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุง และบริหารจัดการภารกิจที่รับผิดชอบ ทั้งในส่วนกลาง ระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิผล และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“ที่สำคัญในปีนี้ ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรง ส่งผลให้การพัฒนาและการดำรงชีวิตของคนไทยต้องเปลี่ยนแปลง และพลิกโฉมจากเดิมไปอย่างมาก ดังนั้น นอกจากการนำเสนอผลการพัฒนาที่ผ่านมาแล้ว การประชุมในวันนี้จึงจะเป็นการระดมความคิดเห็นร่วมกัน เกี่ยวกับประเด็นความท้าทาย และแนวทางการปรับตัวของประเทศไทย เพื่อก้าวสู่ชีวิตวิถีใหม่ (นิวนอร์มอล) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี รวมถึงสภาพัฒน์จะนำผลการประชุมในครั้งนี้ ไปใช้ประกอบการวิเคราะห์ เพื่อกำหนดประเด็นสำคัญในการปรับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และวางกรอบการพัฒนาประเทศฉบับที่ 13 ต่อไป” นายทศพร กล่าว

นายทศพร กล่าวว่า การพัฒนาประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา หากประเมินจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ไทย นับตั้งแต่ปี 2540-2563 ค่าเฉลี่ยการเติบโตอยู่ประมาณ 3% แต่เมื่อเจอผลกระทบของปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน (เทรดวอร์) การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิสรับชั่น จนกระทั่งเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ประเทศไทยชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจลง โดยสภาพัฒน์ประเมินจีดีพีไทยจะติดลบ 7.3% ถึงติดลบ 8% เนื่องจากประเทศไทยอาศัยรายได้จากต่างชาติ เป็นตัวขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว

เมื่อปัจจัย 2 ตัวนี้หายไป เศรษฐกิจไทยจึงได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง รวมถึงหากประเมินจากอันดับความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ ไทยยังย้ำอยู่กับที่ โดยเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย แม้จะตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ในประเทศอาเซียน แต่ก้าวข้ามมาเลเซียก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ทำให้อันดับความสามารถในการแข่งขันปี 2563 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 63 ประเทศ

“การชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่าน ส่งผลกระทบหลายส่วน อาทิ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน พร้อมทั้งการส่งออกที่ปรับตัวลดลง มูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ปรับตัวลดลง จากเดิมที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพมากพอสมควร และอัตราการว่างงาน ที่จากเดิมอัตราการว่างงานอยู่ที่ 1% หรือประมาณ 400,000 คน แต่เมื่อเกิดการระบาดโควิด-19 ก็มีผู้ว่างงานเพิ่มมา 2% หรือประมาณ 750,000 คน

เช่นเดียวกับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี จากเดิมอยู่ที่ 40% เมื่อเกิดการระบาดโควิด-19 ก็ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น เพราะรัฐต้องกู้เงินมาใช้ในระบบเศรษฐกิจ ส่วนสถานการณ์ความยากจนในประเทศไทย แม้ดูจะดีขึ้นจากปี 2550-2561 แต่จำนวนคนยากจนในปี 2560-2563 มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่า จำนวนคนจนจะเพิ่มขึ้นมาในช่วง 3 ปีหลัง” นายทศพร กล่าว

นายทศพรกล่าวว่า ด้านหนี้สินครัวเรือนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2550-2563 จะเห็นจำนวนสะสมของหนี้สินต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันอยู่ที่ 80% ต่อจีดีพี แต่ข้อมูลตัวเลขหนี้ครัวเรือน จากพฤติกรรมของคนไทย พบว่ากว่า 20% เป็นการใช้สินเชื่อส่วนบุคคลในการทำธุรกิจ ส่วนสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย พิจารณาในส่วนของผู้ที่มีรายได้มากที่สุดแตกต่างจากผู้ที่มีรายได้น้อยสุดกว่า 20 เท่า โดยมีกลุ่มคนชนชั้นกลางอยู่ประมาณ 35% สะท้อนถึงการกระจุกตัวของรายได้ในกลุ่มบน และการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึงไปสู่คนกลุ่มล่าง รวมถึงการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

ในส่วนของสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา พบว่าคนรวยมีโอกาสเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี 65.6% สูงกว่าคนจนที่มีเพียง 3.8% และยังพบว่าคนในเขตเมือง พื้นที่กรุงเทพฯ มีการเข้าถึงระบบการศึกษาได้สูงกว่าในเขตชนบทหรือนอกกรุงเทพฯ ค่อนข้างมาก คิดเป็นช่องว่างที่ห่างกันกว่า 17.3 เท่า

นอกจากนี้ แม้การบริหารราชการแผ่นดินจะมีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ ยังเป็นวิกฤตที่ประเทศไทยต้องเร่งแก้ไขด้วย โดยดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่นปี 2562 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 101 จากทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก