SET มีโอกาสต่ำกว่า 1,200 จุด

คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตการลงทุน
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS)

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ตลาดหุ้นบ้านเราเริ่มชัดเจนขึ้นในการปรับฐาน หลังจากที่หลุดต่ำกว่า 1,300 จุดลงมาก็ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ภาพรวมของการลงทุนที่ยังขาด sentiment ใหม่เข้ามาหนุน

โดยประเด็นบวกเพียงหนึ่งเดียว คือ วัคซีนต้านไวรัส ก็มีอันต้องล่าช้าออกไป ขณะที่ประเด็นลบแม้จะยังเป็นเรื่องเดิมแต่ก็ทวีความตึงเครียดมากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐทุกขณะ ก็จะมีประเด็นที่กดดันให้สินทรัพย์เสี่ยงถูกขายโดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีนที่ยังตึงเครียด และมาตรการพยุงเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐที่ยังมีข้อขัดแย้งระหว่างคองเกรสและทำเนียบขาว มีโอกาสที่จะลากยาวไปถึงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีก็เป็นได้

ทั้งนี้ เดือน ก.ย.ต่างชาติขายสุทธิต่อเป็นเดือนที่ 14 อยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านบาทเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 2.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ performance ของดัชนี MSCI Thailand ยังคงแย่กว่า MSCI APAC ex. Japan ทั้งในช่วง 1, 3, 6 และ12 เดือนหลังสุด นอกจากนี้ ในเดือน ก.ย. consensus ปรับประมาณการกำไรปี”63 ของ SET ลงอีก 1.9% รองจากฮ่องกง จีน และฟิลิปปินส์ ที่ปรับประมาณการกำไรปีนี้ลง 10.5%, 3.8% และ 2.9% ตามลำดับ ตรงข้ามกับมาเลเซียที่ปรับประมาณการกำไรขึ้นถึง 20%

สำหรับแนวโน้ม SET เดือน ต.ค.ในมุมมองของผม คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวลงได้ต่อและมีโอกาสหลุดบริเวณ 1,200 จุด โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,150 จุด คาดเผชิญหลายปัจจัยลบ ได้แก่

1) การปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐที่จะเกิดขึ้นต่อ นำโดยแรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และความล่าช้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลัง รวมถึงความผันผวนของตลาดจะมีขึ้นมากก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

2) การระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 สร้างความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

3) การเติบโตต่ำของกำไรบริษัทจดทะเบียนใน SET ซึ่งยังถูกปรับประมาณการกำไรลงต่อเนื่อง ทำให้ SET ยังเทรดP/E ระดับสูง

4) ตลาดหลักทรัพย์ฯจะกลับไปใช้เกณฑ์ปกติสำหรับ short sell ส่วน ceiling & floor ที่ +/- 30% และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใช้เกณฑ์ปกติการเปลี่ยนแปลงราคาซื้อขายสูงสุดในแต่ละวัน (daily price limit) ที่ +/- 30% มีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้หุ้นที่เคยเป็นเป้าในการขายshort sell และราคาหุ้นปรับขึ้นมากในช่วงที่ใช้เกณฑ์ชั่วคราวมีโอกาสถูกขายหนัก

5) การทยอยรายงานงบฯ 3Q63 ของกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงิน ซึ่งการฟื้นตัว QOQ มีโอกาสแย่กว่าที่คาดกันได้

ทั้งนี้ SET ที่เริ่มปรับตัวลงชัดเจนมาตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค. ทั้งนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิสะสม (28 ส.ค.-30 ก.ย. 2563)ไปแล้วกว่า 3.3 หมื่นล้านบาทและ8.5 พันล้านบาทตามลำดับทำให้เราจะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่มีแรงขายเข้ามาอย่างต่อเนื่องให้ปรับตัวลง หรือการฟื้นตัวถูกจำกัดส่วนหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็กกลับเคลื่อนไหวโดดเด่นได้ในระยะนี้

โดยเฉพาะกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรดี ได้แก่ 1) ILINK หุ้นแนวโน้มกำไรดี จากทั้งยอดขายธุรกิจวิศวกรรม และสายสัญญาณ ทั้งนี้ กำไรปีนี้โดดเด่น โดยครึ่งปีแรกมีกำไรที่ 130 ล้านบาท สูงกว่ากำไรทั้งปีของปีก่อนไปแล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 124 ล้านบาท ซึ่งราคาพื้นฐานหากเทียบกำไรในปีหน้าที่ SCBS ได้ประมาณการไว้ และให้ P/E ที่ระดับเพียง 12 เท่า จะได้ราคาหุ้นที่เหมาะสมเท่ากับ 6.60 บาทต่อหุ้น

2) NOBLE ความน่าสนใจ คือ หุ้นที่ยังเทรด P/E ระดับต่ำ และจ่ายเงินปันผลระดับสูง โดยหากเทียบกำไรในปีหน้าที่ SCBS ประมาณการไว้ ราคาหุ้นในปัจจุบันเทรดที่ P/E ระดับเพียง 4.55 เท่า ทั้งนี้ หากให้ระดับ P/E ที่ 6 เท่า ต่ำกว่า LH หรือ QH ที่เทรดในระดับ 9 เท่า จะได้ราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 23.20 บาท ด้านเงินปันผลอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยทั้งปีคาดจ่ายได้ที่ 2.20 บาท ซึ่งแม้ NOBLE จ่ายปันผลครึ่งปีแรกไปแล้วที่ 1.10 บาท ทำให้คงเหลือจ่ายอีก 1.10 บาท อย่างไรก็ตาม ยังคิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับน่าสนใจประมาณ 6.25%

และ 3) ZIGA ยอดขายเติบโตหลังมีออร์เดอร์ไหลเข้าต่อเนื่อง โดยเฉพาะเหล็กโครงสร้างแบบกลมซึ่งมีมาร์จิ้นดีจนทำให้ตั้งแต่เดือน เม.ย.-ปัจจุบันต้องเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิต ทั้งนี้ กำไรปีนี้โดดเด่น โดยครึ่งปีแรกมีกำไรที่ 38.54 ล้านบาท สูงกว่ากำไรทั้งปีของปีก่อนไปแล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 35.26 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาพื้นฐานหากเทียบกำไรในปีหน้าที่ SCBS ได้ประมาณการไว้ และให้ P/E ที่ระดับเพียง 15 เท่า จะได้ราคาหุ้นที่เหมาะสมเท่ากับ 2.70 บาทต่อหุ้น

…แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าครับ ด้วยรักและหวังดี