‘ไบเดน’ กับสัญญาณสงคราม การค้าสหรัฐ-จีน รูปแบบใหม่

โจ ไบเดน
REUTERS/Tom Brenner/File Photo
คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก
ขวัญใจ เตชเสนสกุล 
EXIM BANK

ขณะนี้ค่อนข้างเป็นที่แน่นอนแล้วว่า นายโจ ไบเดน จะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ซึ่งหนึ่งในนโยบายที่ทั่วโลกต่างจับตามองและให้ความสนใจมากที่สุด คงหนีไม่พ้นประเด็นเรื่องของ “สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน” ว่าจะลงเอยอย่างไร

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปฟังมุมมองของนายไบเดน ตั้งแต่ช่วงหาเสียงจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีการแสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนหลายครั้ง ซึ่งพอสรุปประเด็นได้ ดังนี้

สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ในรูปแบบการขึ้นภาษีนำเข้าอาจเริ่มบรรเทาลง แม้นายไบเดนให้สัมภาษณ์สื่อ เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า จะยังไม่ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในทันที โดยจะขอพิจารณาในรายละเอียดก่อน

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา นายไบเดนมีแนวคิดที่ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงกับการใช้มาตรการด้านภาษีนำเข้ากับจีน โดยในการหาเสียงเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 นายไบเดนแสดงทรรศนะว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐเองมากกว่าจีน และเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาคการผลิตของสหรัฐเข้าสู่ภาวะตกต่ำ (manufacturing’s gone on recession) จากต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคสหรัฐได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น

นอกจากนี้ การที่นายไบเดนเสนอชื่อ นางเจเน็ท เยลเลน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ยิ่งตอกย้ำว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน อาจสิ้นสุดลง หรืออย่างน้อยก็ไม่น่าจะมีมาตรการใหม่เพิ่มเติม เนื่องจากนางเยลเลนมีแนวคิดสนับสนุนการค้าเสรี และเป็นผู้ต่อต้านมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์มาโดยตลอด

สงครามการค้ารูปแบบใหม่ อาจก่อตัวขึ้น แม้ในช่วงหาเสียง นายไบเดนจะหลีกเลี่ยงและค่อนข้างระมัดระวังเมื่อต้องพูดถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับจีน อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ New York Times เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม 2563 หลังจากผลการเลือกตั้งค่อนข้างชัดเจนแล้ว โดยนายไบเดนได้ให้ทรรศนะในเชิงไม่เห็นด้วยกับการที่จีนไม่เคารพกติกาการค้าโลก และเอาเปรียบชาติอื่น ๆ (abusive practice) และเปรยว่า สหรัฐภายใต้การนำของเขาจะพุ่งเป้าไปที่จีนในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การทุ่มตลาด การอุดหนุนผู้ประกอบการจากภาครัฐ มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ทำให้หลายฝ่ายมองว่าในยุคของนายไบเดน แม้ประเด็นสงครามการค้าในรูปแบบของการขึ้นภาษีนำเข้าอาจบรรเทาลงบ้าง แต่สงครามการค้าในรูปแบบที่มิใช่ภาษี (nontariff measures) อาจกลับมาทวีความร้อนแรงขึ้น

Tech War ยังเป็นสมรภูมิเดือดระหว่างสหรัฐและจีน แม้นโยบายของนายไบเดน และประธานาธิบดีทรัมป์ส่วนใหญ่จะแตกต่างกันค่อนข้างมาก แต่ประเด็นเรื่องของ “สงครามเทคโนโลยี” หรือ “Tech War” กลับมีแนวคิดที่ใกล้เคียงกัน โดยนายไบเดนยังมีนโยบายที่จะกีดกันซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชั่น รวมถึงเทคโนโลยี 5G ของบริษัทจีน ซึ่งคล้ายกับนโยบายเดิมของประธานาธิบดีทรัมป์

นอกจากนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2563 นายไบเดนได้ประกาศนโยบาย “Innovate in America” โดยพร้อมทุ่มงบประมาณราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G และ AI เพื่อแข่งขันกับจีน ซึ่งถือเป็นผู้นำเทคโนโลยีอยู่ในขณะนี้ ทำให้คาดว่าในยุคของนายไบเดน สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีนน่าจะดุเดือดขึ้น

นโยบายการค้าของสหรัฐภายใต้การนำของนายไบเดน ที่เดิมดูเหมือนจะพลิกฝ่ามือไปจากประธานาธิบดีทรัมป์ มาถึงวันนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่มีทั้งเหมือนและแตกต่าง

ในความเหมือนคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนน่าจะยังคงอยู่ ขณะที่ในความแตกต่าง เค้าลางที่เห็นชัดเจนคือ มีการเปลี่ยนรูปแบบจากมาตรการทางการค้าด้านภาษี ไปสู่มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี ทั้งในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา การทุ่มตลาด รวมถึงการอุดหนุนจากภาครัฐ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการค้าของโลกในระยะถัดไป และจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงผู้ประกอบการไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบการค้าโลกยุคใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที