โบรกเกอร์จับเทรนด์หุ้นเด่น ลงทุน “ก่อน-หลัง” สงกรานต์

หุ้นกู้
Image by StockSnap from Pixabay

“บล.เอเซีย พลัส” จับกระแสหุ้นเด่นรับ “เทศกาลสงกรานต์” ชูธีม reopening economy กลุ่ม “ท่องเที่ยว-สายการบิน-ค้าปลีก-เครื่องดื่ม” ได้อานิสงส์ ขณะที่หลังสงกรานต์แนะเล่นหุ้นใหญ่ “พักตัวมานาน-มีโอกาสทำกำไร-รับประโยชน์เกณฑ์ฟรีโฟลต” ฟากสภาธุรกิจตลาดทุนชี้เปิดประเทศหนุนดัชนี SET เล็งปรับเป้าสิ้นปีเพิ่มจากเดิมคาด 1,600 จุด

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า นักลงทุนที่จะเล่นหุ้นก่อนจะถึงเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาวนี้ ควรโฟกัสกลุ่มได้รับอานิสงส์จากการฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (reopening economy theme) เนื่องจากค่อนข้างน่าสนใจจากกระแสการเดินทางท่องเที่ยวของประชาชน หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อเนื่อง อาทิ เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3, ทัวร์เที่ยวไทย เป็นต้น

รวมถึงล่าสุดศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เห็นชอบข้อเสนอการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนมาแล้วเข้ามาเที่ยวจังหวัดภูเก็ต โดยไม่มีการกักตัว และจะเริ่มรับต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้ และคาดว่าจะขยายพื้นที่ไปจังหวัดใกล้เคียง เช่น กระบี่, พังงา เป็นต้น

“หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว น่าจะได้รับบรรยากาศเชิงบวก อย่างเช่น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT), บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL), บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) และกลุ่มสายการบิน เช่น บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV)” นายชาญชัยกล่าว

ขณะที่ด้านการบริโภค/จับจ่ายใช้สอย เชื่อว่าภาครัฐน่าจะเตรียมมาตรการกระตุ้นในเฟสถัดไป อาทิ คนละครึ่งเฟส 3, ช้อปดีมีคืน เป็นต้น จะหนุนหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า ที่จะมีปริมาณลูกค้าเข้าใช้บริการมากขึ้น เช่น บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN), บมจ.เซ็นทรัลรีเทลคอร์ปอเรชั่น (CRC), บมจ.สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ (SF), บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เป็นต้น

นอกจากนี้ หุ้นที่เป็นเจ้าของสินค้า อย่างกลุ่มเครื่องดื่ม คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการคนละครึ่งเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยเช่นกัน อาทิ บมจ.เซ็ปเป้ (SAPPE), บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) เป็นต้น

นายชาญชัยกล่าวอีกว่า ส่วนธีมการเล่นหุ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ไปแล้ว ภาพการลงทุนอาจต้องเปลี่ยนไปเล่นหุ้นใหญ่ที่พักตัวมานาน หรือเป็นหุ้นที่มีโอกาสกำไรเติบโต และยังได้ประโยชน์ของเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่จะใช้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่นำข้อมูลการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (free float adjusted market capitalization) เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL), ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เป็นต้น

“ถ้ามองช่วงที่เหลือในครึ่งแรกของปีนี้ ยังมองทิศทางตลาดค่อนข้างบวกจากคาดการณ์กำไรตลาดปีนี้ จะเป็นภาพของการเติบโตจากฐานต่ำ โดยคาดอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 70.20 บาทต่อหุ้น เติบโต 32%ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งช่วยหนุน

รวมไปถึงความคืบหน้าวัคซีนโควิด และการ reopening น่าจะทำให้บรรยากาศลงทุนยังดีอยู่ ขณะเดียวกันมาตรการภาครัฐที่ยังเห็นทยอยออกมาต่อเนื่อง ซึ่งผลมาตรการจะเป็นตัวหนึ่งที่ช่วยประคองทิศทางเศรษฐกิจได้”นายชาญชัยกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะมีประเด็นความเสี่ยงที่ยังต้องจับตา ได้แก่ 1.มาตรการภาครัฐจะเริ่มลดน้อยลงแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจของไทยน่าจะเริ่มชะลอลง และเศรษฐกิจต้องไปคาดหวังกับการฟื้นตัวที่แท้จริง ซึ่งอาจต้องประเมินในระยะถัดไปว่าเป็นไปอย่างที่ตลาดคาดหวังหรือไม่

รวมถึงปัจจัยการดำเนินนโยบายการเงิน โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งต้องติดตามท่าทีของเฟด ว่าหากเงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น เพราะฐานราคาน้ำมันดิบปีนี้กับปีที่แล้วต่างกันมาก ทำให้ตลาดกังวลและอาจทำให้ภาพของเม็ดเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) กลับมามีน้ำหนัก และบรรยากาศการลงทุนจะเพิ่มความผันผวนมากขึ้น

“ช่วงนั้น ถ้าตลาดผันผวนควรเลือกหุ้นที่มองว่า valuation (การประเมินมูลค่า) ยังไม่ได้แพง และทิศทางกำไรยังเติบโต หรือเลือกลงทุนหุ้น laggard (ราคายังไม่ปรับขึ้นตามหุ้นตัวอื่น ๆ) หากจะให้ปลอดภัย” นายชาญชัยกล่าว

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ขณะนี้ความมั่นใจในแง่ทิศทางการเปิดประเทศมีมากขึ้นจากแผนการจัดหาวัคซีนโควิด ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลับมาได้เหมือนเดิมในอนาคต โดยรัฐบาลมีหารือกับหลายประเทศในการเปิดประเทศ (travel bubble) ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีและเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ดี หลังจากนี้ยังต้องติดตามจำนวนนักท่องเที่ยวว่าจะกลับเข้ามามากน้อยเพียงใดโดย FETCO ประเมินฟันด์โฟลว์น่าจะเริ่มกลับเข้ามาในครึ่งปีหลังของปี 2564 ไปจนถึงปี 2565 ซึ่งอาจปรับมุมมองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่มองไว้ที่ระดับ 1,600 จุด

“จากนี้ไปแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับแผนดำเนินการของรัฐบาล ว่าจะทำได้ตามแผนให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ ซึ่งตลาดทุนได้แต่เฝ้าดูผลงานของรัฐบาลต่อไป แต่ช่วงที่ผ่านมา เสียงตอบรับ ตลาดทุนเริ่มฟื้นตัวขึ้น

โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET เริ่มกลับเข้าไปสู่ระดับก่อนโควิด ถึงแม้จะช้า เพราะเป็นประเทศท่องเที่ยว แต่ก็แสดงถึงความมั่นใจของนักลงทุน”