Finnomena เปิดตัว 3 พอร์ตลงทุน จากกูรูชั้นนำ รับมือตลาดผันผวน

กสิณ สุธรรมนัส CEO & Co-Founder
กสิณ สุธรรมนัส

Finnomena เปิดตัว 3 Guru Port พอร์ตลงทุนตามกูรูชั้นนำ โดยนำแนวคิดที่โดดเด่นของแต่ละกูรู “Deepscope, BottomLiner และ MacroView” มาพัฒนาเป็นพอร์ตการลงทุน เพิ่มทางเลือกสำหรับการลงทุนในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวน ลงทุนเริ่มต้น 500,000 บาท

วันที่ 23 มิถุนายน 2565 นายกสิณ สุธรรมนัส CEO & Co-Founder บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด กล่าวว่า ในปี 2565 ถือเป็นปีที่ท้าทายของตลาดการลงทุนในทุก ๆ ด้าน เนื่องจากมีความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงที่รุมเร้าหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และหากเงินเฟ้อไม่ชะลอตัวลง ความเสี่ยงของการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะยิ่งสูงขึ้น

“ดังนั้นในแง่ของการลงทุนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระจายความเสี่ยงและเพิ่มการตั้งรับในภาพรวมให้เหมาะสม” นายกสิณกล่าว

ด้าน ดร.แอนดรูว์ สต๊อทซ์ นักวิเคราะห์และนักวิจัย ผู้มีประสบการณ์ในแวดวงการเงินและการลงทุนมากว่า 20 ปี ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง A.Stotz Investment Research (ASIR) กล่าวว่า โครงการ Guru Port ลงทุนตามกูรูชั้นนำ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2562 โดยพอร์ตที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น ได้แก่ พอร์ต A.Stotz All-Weather Strategy ที่ทางตนได้ออกแบบและร่วมพัฒนากับทางฟินโนมีนา

ซึ่งจากความสำเร็จดังกล่าว นำมาสู่การร่วมกันออกแบบพอร์ตที่ 2 คือ All-Weather Alpha Focus ที่นักลงทุนให้ความสนใจร่วมลงทุนภายใต้คำแนะนำดังกล่าว คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 2 พันกว่าล้านบาท และในเร็ว ๆ นี้ กำลังจะร่วมมือกันในการออกแบบพอร์ตการลงทุนที่ 3 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการบริหารความเสี่ยงในสถานการณ์ตลาดที่ผันผวนอย่างเช่นทุกวันนี้

โดยสำหรับโครงการ Guru Port ในปี 2565 นี้ FINNOMENA ได้ร่วมมือกับกูรูด้านการลงทุน อย่าง Deepscope, BottomLiner และ MacroView นำแนวคิดที่โดดเด่นของแต่ละกูรูมาพัฒนาเป็นพอร์ตการลงทุนทางเลือกสำหรับการตัดสินใจของนักลงทุนในสภาวะที่ตลาดมีความผันผวน ซึ่งแต่ละพอร์ตของทั้ง 3 กูรู จะมีความพิเศษและแตกต่างกันออกไป เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกตามความเหมาะสม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.พอร์ตลงทุน Growth Momentum AI (GMAI) โดย Deepscope

ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนที่เน้นการลงทุนในกองทุนที่ NAV เติบโตเร็วด้วยโมเมนตัม (momentum) ผ่านการคัดเลือกโดย AI ที่สามารถวิเคราะห์ได้ทุกอย่าง ด้วย Genetics Algorithm ที่จะเน้นหาโมเมนตัมของกองทุนที่มีอัตราเติบโตที่เร็ว โดยจะมีการปรับพอร์ต 4 ครั้งต่อปี หรือในทุกไตรมาส

ทั้งนี้พอร์ตมีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินเย็น เเละเป็นนักลงทุนระยะยาว 2 ปีขึ้นไปที่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้ ซึ่งคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี (ไม่ใช่การการันตี)

2.พอร์ตลงทุน Optimal Megatrend Opportunities (OMO) โดย BottomLiner

เป็นพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นธีม เมกะเทรนด์ (Megatrend) ที่ดีและแบ่งน้ำหนักการลงทุนด้วย Risk Budgeting เทคนิคเหมือน Ray Dalio มาช่วยในการจัดพอร์ตการลงทุน ปรับพอร์ตตามมุมมองการลงทุน และคำแนะนำของโมเดล อิงตามความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป

พอร์ตนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสในหุ้นเติบโตสูง แต่ไม่มีเวลาศึกษาหรือติดตาม และต้องการการบริหารความเสี่ยงอย่างมีคุณภาพให้พอร์ตไม่ผันผวนจนเกินไป คาดหวังผลตอบแทนที่คาดหวังเฉลี่ย 15% ต่อปี (ไม่ใช่การการันตี)

3.พอร์ตลงทุน MRI โดย MacroView

เป็นพอร์ตลงทุนผ่านแนวทางการสแกนกองทุนด้วยปัจจัยเชิง Macro ความเสี่ยง (Risk) และการวิเคราะห์แบบ Induction (MRI) โดยวิเคราะห์ผ่านปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคที่ผ่านการวิเคราะห์คัดกรองอย่างเข้มข้น วิเคราะห์สองชั้นทั้งจากภาพใหญ่ไปภาพย่อย (Top-down) และภาพย่อยไปภาพกว้าง (Bottom-up)

โดยพอร์ต Macroview จะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจัดการความผันผวนอันหนักหน่วงจากตลาดลงทุนในโลกปัจจุบัน คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 7-10% ต่อปี (ไม่ใช่การการันตี)

โดยทั้ง 3 พอร์ตนี้นักลงทุนสามารถลงทุนเริ่มต้นครั้งแรกขั้นต่ำที่ 500,000 บาท

ทั้งนี้ในปี 2565 ถือเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายของการลงทุน โดยเฉพาะปัจจัยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้ว่าขณะนี้หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติกันอีกครั้ง แต่เศรษฐกิจก็อาจจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้น การลงทุนเพื่อลดความผันผวน จำเป็นต้องจัดพอร์ตในภาพรวมให้เหมาะสม