นับจากวันแรกที่ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” รับตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) คนที่ 17 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 จนถึง 23 ตุลาคม 2565 ทีมชัชชาติทำงานแล้ว 135 วัน บรรยากาศการทำงานครบรสครบเครื่อง เผชิญศึกรอบด้านทั้งศึกในศึกนอก ม็อตโต้ “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ยังคงเป็นแนวทางที่มุ่งมั่น
ตามไปดูนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี (ปลอดภัยดี สุขภาพดี สิ่งแวดล้อมดี เรียนดี บริหารจัดการดี เดินทางดี โครงสร้างดี เศรษฐกิจดี สร้างสรรค์ดี) หลายเรื่องเดินมาถึงจุดสุกงอม ดังนี้
- วิธีลงทะเบียนแอป ทางรัฐ ยืนยันตัวตน รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- กระทรวงเกษตรฯ ปลดล็อกการนำเข้าโคเนื้อ-กระบือจากประเทศเมียนมา
- อธิบดีราชทัณฑ์ เปิดไทม์ไลน์ บุ้ง ทะลุวัง ก่อนเสียชีวิต
โยกย้าย 48 ตำแหน่ง
การกระชับอำนาจครั้งแรกของ “ผู้ว่าฯชัชชาติ” เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โยกย้ายข้าราชการระดับสูง กทม.บิ๊กลอต 48 ตำแหน่ง มีทั้ง “โปรโมต” ผู้ช่วย ผอ.เขตนั่งเก้าอี้ ผอ.เขต 12 ตำแหน่ง, โยกสลับจาก ผอ.เขตมานั่งผู้ตรวจราชการ กทม. 6 ตำแหน่ง
ยังไม่นับรวมการโยกย้ายตำแหน่งอื่น ๆ อีก 30 ตำแหน่ง เพื่อกระชับอำนาจเร่งแก้ไขปัญหาเส้นเลือดฝอยกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะผ่านแอปพลิเคชั่น Traffy Fondue
ฝุ่นจิ๋ว PM 2.5
ปัญหาคนกรุงช่วงหน้าหนาวคือฝุ่นจิ๋วหรือ PM 2.5 อัพเดตล่าสุดมีการจัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศ กทม.” ตั้งอยู่ที่สำนักสิ่งแวดล้อม ศาลาว่าการ กทม.ดินแดง มีเรื่องดำเนินการ 3 ด้าน 1.รถขนส่ง รถควันดำ ได้ดำเนินการเชิงรุก ตรวจทุกวันตลอดช่วง 2 เดือน (ธันวาคม-มกราคม) ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก กรมควบคุมมลพิษ ตำรวจ โรงงาน และพยายามไปตรวจที่จุดกำเนิด เช่น แพลนต์ปูน ไซต์งานก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม
2.โรงงานอุตสาหกรรม ในกรุงเทพฯ มี 6,000 โรงงาน โดย 260 แห่งเป็นโรงงานที่มีความเสี่ยง PM 2.5 ต้องเฝ้าระวังอย่างละเอียด 3.การเผาชีวมวล ปี 2564 ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีการเผา 9 จุด ซึ่งจะมีการเฝ้าระวังและดูจุดความร้อนจากการเผาไหม้ต่าง ๆ (hotspot) ต่อไป
ที่น่าสนใจคือ มีรถอีกประเภทหนึ่งที่ปล่อยควันพิษได้ คือ “รถบรรทุกที่แบกน้ำหนักเกิน-Overload” ทำให้เกิดโอกาสปล่อยมลพิษออกมา กำลังดูแนวทางควบคุมเรื่องน้ำหนักบรรทุกเกินได้แค่ไหน หรือจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไร เลยเถิดมาถึงการดูจุดต้นทาง ไม่ว่าจะเป็น “ท่าเรือ แพลนต์ปูน ขสมก.” เป็นต้น
โดย กทม.เตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขเปิด “คลินิกมลพิษทางอากาศ” 5 แห่ง ให้คำปรึกษาประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้มีโรคประจำตัว ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น
1.ที่โรงพยาบาลกลาง ให้บริการวันอังคารและวันศุกร์ เวลา 08.00-12.00 น. 2.โรงพยาบาลตากสิน ให้บริการวันจันทร์-วันศุกร์ (ยกเว้นวันพุธ/วันหยุดราชการ) เวลา 09.00-12.00 น. ณ บ้านชีวาสุข 3.โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ให้บริการทุกวันพุธ เวลา 13.00-15.00 น. 4.โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ให้บริการทุกวันอังคาร เวลา 08.00-16.00 น. และ 5.โรงพยาบาลสิรินธร เปิดให้บริการทุกวันอังคาร เวลา 13.00-16.00 น.
4 กฎหมายหลักคุมน้ำเสีย
“วิศณุ ทรัพย์สมพล” รองผู้ว่าราชการ กทม. กล่าวว่าปัญหาเส้นเลือดฝอยว่าด้วย “การจัดการคุณภาพน้ำ” จากการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำโดยสำนักการระบายน้ำ 169 คลอง และแม่น้ำเจ้าพระยา 9 จุด พบว่าคุณภาพน้ำมีสภาพเสื่อมโทรม โดยจัดอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 5 (เพื่อการคมนาคมเท่านั้น) เนื่องจากการขยายตัวของชุมชนเมืองและการเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็ว มี 2 มาตรการหลัก “ใช้-ไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง”
แบ่งเป็น “มาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง” เป็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย มี 4 ฉบับหลัก คือ กฎหมายควบคุมอาคาร 2522 กฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2535 กฎหมายโรงงาน 2535 และกฎหมายการสาธารณสุข 2535 ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เช่น คลองแสนแสบและคลองสาขา บังคับใช้กฎหมายกับสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ริมคลองในรัศมี 500 เมตร เป้าหมาย 1,662 แห่ง
ปัจจุบันมีสถานประกอบการปฏิบัติถูกต้อง 1,068 แห่ง และยังฝ่าฝืน 395 แห่ง อยู่ระหว่างตรวจสอบ 199 แห่ง
ที่น่าสนใจคือการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ โดยตราข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย 2547 แก้ไขเพิ่มเติม 2562 กำหนดให้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิด ปัจจุบันเตรียมเสนอร่างระเบียบ 2 ฉบับ และร่างประกาศ 6 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 8 ฉบับ
กับมาตรการ “ใช้สิ่งก่อสร้าง” คือก่อสร้างระบบบำบัด ปัจจุบัน กทม.มีโรงควบคุมคุณภาพน้ำ 8 แห่ง ที่ “สี่พระยา รัตนโกสินทร์ ช่องนนทรี หนองแขม ทุ่งครุ ดินแดง จตุจักร และศูนย์การศึกษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางซื่อ” คลุมพื้นที่รวม 215.7 ตารางกิโลเมตร 22 เขต บำบัดน้ำเสียรวมทั้งสิ้น 1,112,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน มีปริมาณน้ำเสียที่บำบัดได้จริงในปี 2564 เท่ากับ 834,507 ลูกบาศก์เมตร/วัน
นอกจากนี้ยังมีระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนขนาดเล็กที่รับโอนจากการเคหะแห่งชาติ 12 แห่ง ขีดความสามารถ 24,800 ลูกบาศก์เมตร/วัน บำบัดได้จริงในปี 2564 เท่ากับ 16,538 ลูกบาศก์เมตร/วัน รวมขีดความสามารถบำบัดน้ำเสีย 1,136,800 ลูกบาศก์เมตร/วัน คิดเป็น 45% ของปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นใน กทม.
ไฮไลต์โครงการก่อสร้างในอนาคต อยู่ระหว่างดำเนินการปี 2561 เป็นต้นไป 4 โครงการ คือ โครงการบำบัดน้ำเสียคลองเตย ธนบุรี มีนบุรี ระยะที่ 1 และบึงหนองบอน หากดำเนินการแล้วเสร็จ จะบำบัดน้ำเสียได้เพิ่มเติม 665,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ระยะยาว (2566-2583) สร้างเพิ่ม 15 แห่ง เป็นโครงการบำบัดน้ำเสียฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ 8 แห่ง และตั้งอยู่นอกพื้นที่แนวคลองแสนแสบ 7 แห่ง
โครงการนี้จำเป็นต้องทบทวนใหม่ อยู่ระหว่างจ้างที่ปรึกษาทบทวนแผนแม่บทการจัดการน้ำเสีย กทม. คาดว่าเริ่มศึกษาได้ปี 2566
เพิ่มสีเขียวกำแพงกันฝุ่นจิ๋ว
“จักกพันธุ์ ผิวงาม” รองผู้ว่าราชการ กทม.ขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียว มีการตั้งอนุกรรมการ 4 คณะ 1.ด้านนโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียวและกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง 2.ด้านนโยบายสวน 15 นาที 3.ด้านนโยบายจัดหารุกขกรมืออาชีพดูแลต้นไม้ประจำเขต และ 4.ด้านการจัดการฐานข้อมูลพื้นที่สีเขียว
โดย กทม.ประสานความร่วมมือผู้เชี่ยวชาญจากภาคีเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ม.เกษตรศาสตร์ กรมป่าไม้ มูลนิธิโลกสีเขียว สมาคมรุกขกรรมไทย เครือข่ายต้นไม้ในเมือง เครือข่ายสิ่งแวดล้อมเมือง กลุ่ม Big Tree และกลุ่ม We!Park ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการฯ โดยจะเสนอผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครลงนามแต่งตั้ง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป
Pride Clinic ครบทุกเขต
“รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช” รองผู้ว่าราชการ กทม.อัพเดตนโยบาย กทม. ต่อการพัฒนาสุขภาวะของคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เป้าหมายภายในสิ้นปี 2565 นี้ ในโรงพยาบาล กทม. 5 แห่งที่มี Pride Clinic หรือคลินิกสุขภาพเพศหลากหลาย ตอนนี้มี 11 แห่ง จะเพิ่มให้ได้ 16 แห่ง จากศูนย์บริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และโรงพยาบาลจะขยายจาก 5 แห่ง เป็น 9 แห่ง เพราะฉะนั้นการรองรับในที่สุดปลายทางของ กทม. ในปี 2566 จะสามารถทำให้ได้เกือบครบทุกเขต
“ประชากรของ LGBTQ+ กทม.มีประมาณ 1 แสนคน หรืออาจมากกว่านี้ กทม.อยากจะทำ อยากรับฟังทุกความเห็น และพร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุนทั้งพื้นที่ สุขภาพ ความเป็นอยู่ เหมือนทุกคนเป็นเพื่อนเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในสังคม และจะให้พวกเราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไป”
แผนเฟส 3 รับมือสังคมผู้สูงวัย
นโยบายจัดทำแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุกรุงเทพมหานคร ระยะที่ 3 (2566-2570) จากการที่ กทม.เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์แบบ มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 22% แล้ว บางเขต เช่น สัมพันธวงศ์ ป้อมปราบศัตรูพ่ายมีถึง 32% โดยสำนักอนามัยร่วมกับวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาฯ กำหนดเวลา 180 วัน เป้าหมายเกิดแผนบูรณาการงานด้านผู้สูงอายุของ กทม. เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
วิสัยทัศน์ของแผนระยะที่ 3 “ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตดี มีหลักประกันมั่นคง เป็นพลังพัฒนาสังคม” และสอดคล้องกับนโยบายผู้ว่าฯ ชัชชาติเกี่ยวกับ “ชมรมผู้สูงอายุ สร้างสุขภาพ ส่งเสริมสุขภาพใจ-Active Aging” โดยสนับสนุนการรวมกลุ่มและอำนวยความสะดวกให้ตั้งชมรมผู้สูงอายุ จัดหากิจกรรมให้กับชมรมผู้สูงอายุ ให้ความรู้เกี่ยวกับการเขียนโครงการขอรับเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม. เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตที่ดีและสุขภาพกายที่แข็งแรง เป็นคลังปัญญาให้กับกรุงเทพฯ และเยาวชนต่อไป
นัดทิ้ง นัดเก็บ ขยะชิ้นใหญ่
ข้อมูลสำนักสิ่งแวดล้อมระบุปัจจุบันมีปริมาณขยะสูงถึง 10,000 ตัน/วัน รวมถึงขยะชิ้นใหญ่ที่ไม่ใช้แล้วจากบ้านเรือน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ที่นอน โซฟา เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ หากไม่มีการบริหารจัดการที่ถูกวิธี จะทำให้เกิดการลักลอบทิ้งตามสถานที่รกร้างว่างเปล่า แม่น้ำ ลำคลอง ส่งผลให้เกิดการกีดขวางการระบายน้ำและเกิดปัญหาน้ำท่วมขังบนผิวการจราจร
สำนักสิ่งแวดล้อมร่วมกับ 50 สำนักงานเขต จัดกิจกรรม “นัดทิ้ง นัดเก็บ ขยะชิ้นใหญ่” ต่อเนื่องทุกสัปดาห์ในวันเสาร์+วันอาทิตย์ หมุนเวียนไปตามซอย ชุมชน และหมู่บ้านต่าง ๆ ในพื้นที่ 50 สำนักงานเขตอย่างทั่วถึง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยขยะชิ้นใหญ่ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ที่อยู่ในสภาพดีจะนำมารวบรวมที่ศูนย์การเรียนรู้ของสำนักงานเขต เพื่อซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
จุดโฟกัสอยู่ที่ กทม.กำหนดโทษผู้ทิ้งขยะชิ้นใหญ่ไม่ถูกที่ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท สามารถแจ้งข้อมูลที่ฝ่ายเทศกิจสำนักงานเขตในพื้นที่ หากเบาะแสนำไปสู่การจับปรับ ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับส่วนแบ่ง 50% ของค่าปรับ โดยรับส่วนแบ่งได้ที่สำนักงานเขต ซึ่งการรับส่วนแบ่งผู้แจ้งต้องยื่นคำร้องขอรับส่วนแบ่งโดยมีผู้อำนวยการเขตพื้นที่เป็นผู้อนุมัติ
รวมถึงปรับ 2,000 บาท เมื่อเจ้าหน้าที่พบเห็นผู้ทิ้งขยะนอกภาชนะหรือจุดที่กำหนด โดยสถิติส่วนแบ่งค่าปรับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มีผู้แจ้งเบาะแสและส่วนแบ่งค่าปรับหลายรายคิดเป็นเงินจำนวนหลายแสนบาท
“ชุดพี่กวาดเรืองแสง”
โครงการดี ๆ ที่ต้องบอกต่อ สำนักสิ่งแวดล้อมได้ริเริ่มโครงการมือวิเศษกรุงเทพ “แยกเพื่อให้…พี่ไม้กวาด” เชิญชวนประชาชนแยกขยะขวดพลาสติกใสไปบริจาคที่จุดรับ 52 จุดทั่วกรุงเทพฯ เพื่อนำไปผลิตชุดสะท้อนแสงรูปแบบใหม่ให้พนักงานกวาด (1 ชุด ผลิตจากขวดพลาสติก 42 ขวด) ทดลองใช้ที่สำนักงานเขตดินแดงเป็นเขตแรก 200 ชุด เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2565 เตรียมขยายการทดลองใช้ไปยังอีก 49 เขตต่อไป
จากการประเมินผลการใช้ชุดพี่กวาดเรืองแสง เบื้องต้นมีผู้ใช้งานแจ้งว่าสีของชุดสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะไกล ซึ่งสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยกว่าชุดเดิม อย่างไรก็ดีลักษณะชุดค่อนข้างบาง เวลาโดนฝนจะมองเห็นทะลุ และเจ้าหน้าที่อยากได้กระเป๋าเพิ่มเติมเพื่อความสะดวก
437 ร.ร.เปลี่ยนขยะเป็นเงิน
“ศานนท์ หวังสร้างบุญ” รองผู้ว่าราชการ กทม.ลงนามความร่วมมือภาคีเครือข่ายโรงเรียนไร้ถัง ร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) โดยนำโรงเรียนในสังกัด กทม. 437 แห่ง เข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีในฐานะ “โรงเรียนสังกัด กทม.ไร้ถัง” เพื่อร่วมกับองค์กรภาคเอกชน 10 แห่ง และ 443 โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั่วประเทศ ปลูกฝังให้เกิดการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางให้กับเยาวชนและชุมชน แก้ปัญหาการจัดการขยะ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่และเป็นวาระสำคัญของประเทศ
“โรงเรียนไร้ถัง” นำโมเดลจัดการขยะแบบ “ทับสะแกโมเดล” ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งประสบความสำเร็จลดปริมาณขยะจาก 15 ตัน/เดือน เหลือ 2 กิโลกรัม/เดือน ปลูกฝังเยาวชนให้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะ รียูส รีไซเคิล อัพไซเคิล และมีส่วนร่วมคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางในโรงเรียน รวมทั้งสร้างรายได้จากการคัดแยกขยะ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนหันมาคัดแยกขยะอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
“หลักการของโครงการนี้คือ เมื่อแยกเสร็จแล้วจะมีคนรับไปเลย ทุกชิ้นจะไม่เป็นขยะอีกต่อไป เป็นโครงการนำร่องใน 24 โรงเรียน ตั้งเป้าจะต้องมีการขยายผลเพิ่มโรงเรียนละ 3 แห่ง รวมเป็น 72 โรงเรียน จาก 72 โรงเรียนเพิ่มตัวคูณก็จะเป็น 216 โรงเรียน ภายใน 3 ปี ก็จะครบ 437 โรงเรียน หรือมากกว่านั้น”
ทั้งนี้ กทม.นำโมเดลภาคีเครือข่ายต้นกล้าไร้ถังมาดำเนินการทันทีกับโรงเรียนสังกัด กทม. 4 เขต “หนองแขม ปทุมวัน พญาไท บางเขน” รวม 19 โรงเรียน โดย 3 เขตแรกนำร่องโครงการ “ไม่เทรวม” รณรงค์แยกขยะเศษอาหารออกจากขยะทั่วไป