กทม.เตือน PM 2.5 พุ่ง 27 ม.ค. กับ 1 ก.พ. บริษัทเอกชนขานรับนโยบาย WFH

ฝุ่น PM2.5 รถไฟฟ้า BTS
แฟ้มภาพจากศูนย์ภาพมติชน

กทม. เตือนประชาชนรับมือ PM 2.5  วันที่ 27 ม.ค. และ 1 ก.พ. ชี้หากสภาพอากาศ หนาวเย็นยิ่งทำให้เพดานลอยตัวอากาศในกรุงเทพฯ กดต่ำ ยาวไปทั้งเดือน ก.พ. เผยมี 11 บริษัทเอกชน ขานรับ WFH แล้ว

วันที่ 25 มกราคม 2566 นายพรพรหม ​วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายเอกชัย เพียรศรีวัชรา​ รองอธิบดีกรมอนามัย​ นายพันศักดิ์ ถิรมงคล ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ​ นายศักดา ตรีเดช ผู้อำนวยการส่วนนวัตกรรมคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ และ นางสาววรนุช สวยค้าข้าว​ รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร​​ ร่วมแถลงมาตรการรับมือฝุ่น PM 2.5 สูงในกรุงเทพฯ ช่วงวันที่ 26-27 ม.ค. 2566​

นายพรพรหม​ กล่าวว่า​ กทม. ร่วมกับกรมอนามัย และกรมควบคุมมลพิษ​ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ​ โดย กทม.แบ่งแผนออกเป็น 3 ส่วน คือ การติดตามและแจ้งเตือนโดยการตั้ง​ War Room แก้ปัญหา PM 2.5 การเปิดทราฟฟี่ฟองดูว์ เพื่อรับแจ้งปัญหาจากประชาชน​ และการพยากรณ์สถานการณ์ฝุ่นล่วงหน้าเพื่อแจ้งเตือนประชาชน

โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง​ การแนะนำการป้องกันสุขภาพให้ประชาชน รวมถึงการแก้ปัญหาจากต้นตอของฝุ่นละออง PM 2.5 เช่น ควันดำจากรถยนต์ การเผาชีวมวลจากการเกษตร และโรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วย​ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐได้ร่วมมือกันอย่างเข้มข้นเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นลองเทียม 2.5 ในกรุงเทพฯ ร่วมกัน​

นายพันศักดิ์กล่าวว่า การเกิดฝุ่น PM 2.5 เป็นวัฏจักรที่มักเกิดขึ้นในฤดูหนาว สำหรับในปีนี้กรมควบคุมมลพิษได้ติดตามแต่คาดการณ์ล่วงหน้า 7 วัน พบว่าช่วงที่มีปัญหาเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. 2566 โดยปัญหาที่พบว่าในวันที่ 24 ม.ค. 2566 เกิดพื้นที่สีส้มทั่วกรุงเทพฯ ในวันนี้ 25 ม.ค. 2566 คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีมาก เป็นพื้นที่สีฟ้า แต่ค่า PM 2.5 จะเกินมาตรฐานอีกครั้งในวันที่ 27 ม.ค. 2566 และจะเกิดพื้นที่สีส้มทั่วกรุงเทพฯ อีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ. 2566

ซึ่งปัญหานี้จะอยู่กับเราไปจนถึงเดือน เม.ย. โดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าปีนี้มีความแห้งแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา จึงเป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้ PM 2.5 อาจจะรุนแรงขึ้น ซึ่งจากสถิติที่ผ่านพบว่าเดือนที่มักจะมีความรุนแรงของ PM 2.5 มากที่สุดคือเดือน ก.พ.

นายศักดากล่าวถึง 2 ปัจจัยหลักของการเกิดฝุ่นว่า ปัจจัยแรก​ได้แก่ เพดานลอยตัวของอากาศ โดยข้อมูลจากอุตุนิยมวิทยาพบว่าเพดานอากาศต่ำกว่า 500 เมตร ทำให้เกิดสถานการณ์ PM 2.5 เนื่องจากเพดานอากาศจะสูงขึ้นในหน้าร้อนและเพดานอากาศจะต่ำลงในหน้าหนาว

และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือในช่วงวันที่ 31 ม.ค. 2566 ถึง 1 ก.พ. 2566 สถานการณ์มีโอกาสรุนแรงเหมือนวันที่ 24 ม.ค. 2566 ซึ่งเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยาได้ แต่สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้คือปัจจัยที่สอง แหล่งกำเนิด เช่น การจราจร ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในพื้นที่กรุงเทพ โรงงานอุตสาหกรรม ภาคครัวเรือน การเผาในที่โล่ง เราสามารถร่วมด้วยช่วยกันควบคุมได้

นางสาววรนุช กล่าวว่า หากค่าฝุ่นเพิ่มสูงขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ 3 ส่วน ได้แก่ เฝ้าระวังและแจ้งเตือน กำจัดต้นตอ ป้องกันและดูแลสุขภาพ ซึ่งเรานำข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษและกรมอุตุนิยมวิทยา โดยนำค่าระดับฝุ่นประกอบกับค่าการพยากรณ์ของกรมควบคุม จะได้ข้อมูลสถานการณ์และนำมาใช้ในการวางแผนการทำงานต่อไป จะไปเป็นแผนการ 4  ระดับ

ระดับที่ 1 ไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม. จะใช้ 15 มาตรการ เช่น ตรวจไซด์ก่อสร้าง ตรวจโรงงาน ให้มีการฉีดพ่นน้ำเพื่อไม่ให้มีการฟุ้งกระจายของฝุ่น

ระดับที่ 2 37.6-50 มคก./ลบ.ม. จะมีการเพิ่มความเข้นข้นในการตรวจมากยิ่งขึ้น

ระดับที่ 3 51-75 มคก./ลบ.ม. จะมีการแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานงานขอความร่วมมือทำงานแบบ work from home รวมถึงลดงานที่เกิดฝุ่นละออง

ระดับที่ 4 มากกว่า 75 มคก./ลบ.ม. จะขอความร่วมทำงานแบบ work from home เพราะเป็นการช่วยลดมลพิษได้เป็นอย่างมาก

น.ส.วรนุช กล่าวต่อว่า หลังจากที่กทม. ได้ตั้งวอร์รูมฝุ่น PM 2.5 เพื่อแจ้งเตือนประชาชนในกรุงเทพฯให้รับมือกับสภาพอากาศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ตามที่ กทม. ได้แจ้งประชาชนไปว่า วันที่ 27 ม.ค.นี้ จะมีค่าฝุ่น เกินค่ามาตรฐานเป็นสีส้ม และวันที่ 1 ก.พ. ยอมรับว่า ปีนี้สภาพฝุ่น PM 2.5 หนักและรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา เป็นเพราะเพดานการลอยตัวของอากาศ ใน กทม. ต่ำลง จากอุณหภูมิที่ยังต่ำอยู่อาจส่งผลต่อเนื่องตั้งแต่เดือนก.พ. ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และรอบนอกจะต้องเจอสภาพอากาศในลักษณะนี้อีก แต่ค่าฝุ่นปีนี้จะหนักเป็นช่วงระยะไม่ได้ติดต่อกันหลายวันเหมือนปีที่ผ่านมา

ขณะที่ปัจจัยหลักของฝุ่นก็ยังมาจาก ควันดำของรถยนต์ การปล่อยควันเสีย จากโรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้างต่างๆ และร้านอาหารปิ้งย่าง ซึ่งตอนนี้กรุงเทพฯได้เฝ้าระวังและประมวลค่าฝุ่นเป็นรอบ 24 ชม. ส่วนแนวทางการเฝ้าระวังนั้น​ กทม.ได้วางแผนไว้ 3 แนวทางคือ เฝ้าระวังแจ้งเตือน กำจัดต้นตอและการป้องกัน รวมไปถึงดูแลสุขภาพ

ขณะเดียวกันปีนี้ กทม.ทำงานเชิงรุกมากขึ้น มีการตรวจควันดำจากรถบรรทุกในพื้นที่ไซด์งานก่อสร้าง รวมถึง จะขอความร่วมมือประชาชนใช้บริการรถสาธารณะให้มากขึ้น โดยเฉพาะในวันที่ 27 ม.ค. และวันที่ 1 ก.พ.นี้ที่ค่าฝุ่นในกรุงเทพจะเป็นสีแดง

ส่วนมาตรการที่จะให้ประชาชน WFH ในวันที่ค่าฝุ่นสูงนั้น กรุงเทพฯ ได้ทำหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงขอความสมัครใจจากภาคเอกชน ซึ่งขณะนี้ มี 11 บริษัทเอกที่สนใจและจะเข้าร่วม Work From Home กับ กทม. รวมถึงจะแจ้งเตือนขอให้ประชาชนงดออกกำลังกายกลางแจ้ง ส่วนโรงเรียนขอให้ปิดหน้าต่างและให้โรงเรียนงดทำกิจกรรมนักเรียนนอกอาคาร ขณะที่การสวมใส่หน้ากากอนามัยหากเป็นหน้ากากอนามัยปกติจากป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้น้อย แต่หากเป็นหน้ากาก N95 กรองและป้องกันฝุ่นได้มาก

นอกจากนี้ กทม.ยังได้ขยายคลินิกอนามัย เพื่อรองรับผู้ป่วยมีอาการป่วยด้วยระบบทางเดินหายใจ จากเดิม 3 แห่งเป็น 5 แห่ง คือ​ คลินิกมลพิษทางอากาศโรงพยาบาลกลาง คลินิกมลพิษทางอากาศโรงพยาบาลตากสิน  คลินิกมลพิษทางอากาศโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ คลินิกมลพิษทางอากาศโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ และคลินิกมลพิษทางอากาศโรงพยาบาลสิรินธร

ทั้งนี้ประชาชนสามารถ เข้าใช้บริการได้ทันที พร้อมย้ำว่าปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 กทม. และกรมอนามัยให้ความสำคัญ และปีนี้เป็นความร่วมมือที่จะประสานงานส่งต่อข้อมูล เพื่อการแก้ปัญหาที่รวดเร็วขึ้น