สำรวจตัวเลขกองถ่ายหนังต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย สร้างรายได้ให้ประเทศไทยมากขนาดไหน? อะไรคือสิ่งดึงดูดให้กองถ่ายต่างชาติเข้ามาถ่ายทำในเมืองไทย?
ประเทศไทย หนึ่งในประเทศที่มีสถานที่สวยงาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นจำนวนมาก และชาวต่างชาติเองต่างรู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดีจากสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน รวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิง ซึ่งถือเป็น 1 ใน 5F ที่รัฐบาลไทยตั้งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ผลักดันให้ผู้คนรู้จักมากขึ้น
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ขณะเดียวกัน ในทุกปี มีกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ เดินทางมาที่ประเทศไทย เพื่อทำการถ่ายทำเป็นจำนวนมาก ครอบคลุมตั้งแต่การถ่ายทำภาพยนตร์ ซีรีส์ จนถึงรายการโทรทัศน์รูปแบบต่าง ๆ และทำให้ประเทศไทย มีมาตรการเพื่อส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยมากขุึ้น
“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนสำรวจข้อมูลน่าสนใจและคิดไปข้างหน้าด้วยกัน
ครึ่งปีแรก 2566 ถ่ายแล้ว 246 เรื่อง สร้างรายได้กว่า 2 พันล้านบาท
จากสถิติของกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว (Thailand Film Office) ในปี 2566 (นับจนถึงเดือนมิถุนายน 2566) พบว่า มีจำนวนการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์แล้ว 246 เรื่อง จาก 32 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็น
- ภาพยนตร์โฆษณา 112 เรื่อง
- ภาพยนตร์สารคดี 41 เรื่อง
- มิวสิควิดีโอ 20 เพลง
- รายการโทรทัศน์ 28 รายการ
- รายการเกม/เรียลลิตี้ 17 รายการ
- ละครโทรทัศน์ 2 เรื่อง
- ภาพยนตร์ชุด (ซีรีส์) 6 เรื่อง
- ภาพยนตร์เรื่องยาว 17 เรื่อง
- อื่น ๆ 3 เรื่อง
โดยตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา กองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติ สร้างรายได้ให้ประเทศไทย 2,334,387,887.82 บาท และมี 5 อันดับ ประเทศและเขตปกครองพิเศษฯ ที่เข้ามาถ่ายทำ และสร้างรายได้สูงสุด ดังนี้
- สหรัฐอเมริกา จำนวน 14 เรื่อง งบประมาณ 519 ล้านบาท
- สาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 17 เรื่อง งบประมาณ 349 ล้านบาท
- เขตบริหารพิเศษฮ่องกงฯ จำนวน 11 เรื่อง งบประมาณ 328 ล้านบาท
- สหราชอาณาจักรฯ จำนวน 19 เรื่อง งบประมาณ 261 ล้านบาท
- สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จำนวน 11 เรื่อง งบประมาณ 201 ล้านบาท
และหากย้อนกลับไปดูข้อมูลย้อนหลัง ช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา มีจำนวนกองถ่ายภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำเป็นจำนวนมาก อยู่ที่ราว 700-800 เรื่อง ก่อนที่จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ปี 2563 เหลือเพียงหลัก 100-300 เรื่องเท่านั้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ขณะที่ในแง่รายได้เข้าประเทศตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา จะพบว่ามีรายได้ที่มากขึ้น ยกเว้นปี 2563 ที่เจอกับสถานการณ์โควิด-19 เป็นปีแรก ซึ่งรายได้ลดลงมากสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่รายได้เข้าประเทศจะเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2564 และในปี 2565 มีรายได้เข้าประเทศมากที่สุดถึง 6,364.07 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน กองกิจการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ต่างประเทศ วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้ผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศ เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำไว้ดังนี้
1. สถานที่ถ่ายทำที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของคณะถ่ายทำต่างประเทศ ไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นประเทศไทย หรือต้องการสมมติเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ หรือเหตุการณ์สมมติต่าง ๆ และมีสตูดิโอที่มีมาตรฐาน มีอุปกรณ์การถ่ายทำที่ทันสมัยพร้อมตอบสนองทุกความต้องการของคณะถ่ายทำจากทั่วทุกมุมโลก
2. ความเชี่ยวชาญและอัธยาศัยไมตรีของทีมงานชาวไทย ที่พร้อมทำงานกับคณะถ่ายทำต่างประเทศ ซึ่งได้รับความชื่นชมจากคณะถ่ายทำต่างประเทศเป็นอย่างมาก
3. การให้สิทธิปรโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำฯ Incentive ในรูปแบบการคืนเงิน Cash Rebate ให้กับคณะถ่ายทำที่มีเงินลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 50 ล้านบาท จำนวนร้อยละ 15 – 20 ของเงินลงทุนทั้งหมด
4. การอำนวยความสะดวกของภาครัฐ ประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศได้สะดวก และรวดเร็วที่สุด รวมทั้งมีช่องทางในการยื่นขอรับบริการตรวจลงตรา (Visa) และขอรับใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ณ ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน – BOI
ยังมีข้อมูลระบุด้วยว่า การขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยมีระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตแตกต่างกัน ดังนี้
- โฆษณา สารคดี MV รายการท่องเที่ยว และสื่อประชาสัมพันธ์ ใช้เวลาพิจารณา 3 วันทำการ
- ภาพยนตร์ ซีรีส์ รายการเรียลลิตี้ รายการแข่งขัน ใช้เวลาพิจารณา 5-10 วันทำการ
ในขณะที่ในหลายประเทศจะมีระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาต จำนวน 1-3 เดือน หรือมากกว่านั้น
อีกทั้งในการขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย ได้มีคณะกรรมการพิจารณาฯ อนุญาตโดยส่วนกลาง (กรมการท่องเที่ยว) ซึ่งสามารถดำเนินการถ่ายทำภาพยนตร์ได้ทั่วประเทศ ในขณะที่หลายประเทศต้องเสนอบทภาพยนตร์เพื่อให้แต่ละรัฐ/เมือง พิจารณาอนุญาตก่อนการถ่ายทำ
ซึ่งหากบทภาพยนตร์ต้องถ่ายทำใน Location หลากหลายรัฐ/เมือง ก็จะต้องขออนุญาตในแต่ละที่ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคและสร้างความยุ่งยากให้กับคณะถ่ายทำต่างประเทศเป็นอย่างมาก
เมืองไทยยังเนื้อหอม ครึ่งหลังปี 2566 มีกองถ่ายฯ รออีกเพียบ
ข้อมูลระบุเพิ่มเติมด้วยว่า ช่วงครึ่งปี พ.ศ. 2566 มีคณะถ่ายทำทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ รายการโทรทัศน์เข้ามาถ่ายทำจำนวนมาก อาทิ ซีรีส์เกาหลีที่กำลังเป็นกระแสนิยมอยู่ในขณะนี้ เรื่อง “King the Land” คณะถ่ายทำเกาหลีได้เข้ามาถ่ายทำในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีสถานที่ถ่ายทำ คือ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดสมุทรปราการ
หรือรายการโทรทัศน์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่อง “Keep Running” ได้เข้ามาถ่ายทำ และแข่งขันในประเทศไทย เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีสถานที่ถ่ายทำ คือ กรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดชลบุรี
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม ระบุว่าในช่วงเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 16-27 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา มีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมคูหาประเทศไทยจำนวนมากกว่า 600 คน
และมีผู้ผลิตภาพยนตร์ที่สนใจและมีแผนจะเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย จำนวน 21 ราย จาก 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดา ฝรั่งเศส กรีซ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ อินเดียและออสเตรเลีย โดยมีแผนใช้เงินลงทุนรวมกว่า 3,800 ล้านบาท
รัฐจัดเต็มมาตรการ หนุนต่างชาติยกกองถ่ายมาไทย
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้กองถ่ายภาพยนตร์จากต่างประเทศ เดินทางเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย ตั้งแต่มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ โดยการคืนเงิน (Cash Rebate) ซึ่งได้มีการปรับปรุงอัตราการคืนเงินให้มากขึ้น
จากเดิม ร้อยละ 15-20 เป็นร้อยละ 20-30 เป็นระยะเวลา 2 ปี และเพิ่มเพดานการคืนเงินจากเดิม 75 ล้านบาทต่อเรื่องเป็น 150 ล้านบาทต่อเรื่อง
สำหรับรายละเอียดของการให้เงินคืนแก่กองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายทำภายในประเทศไทย เป็นดังนี้
มาตรการหลัก จำนวนร้อยละ 15 เมื่อคณะถ่ายทำมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทำในประเทศไทย มากกว่า 50 ล้านบาท
มาตรการเพิ่มเติม โดยรวมกันแล้วไม่เกินจำนวนร้อยละ 5 มีจำนวน 5 แบบ
- ร้อยละ 5 หากภาพยนตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งเสริม Soft Power และภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย
- ร้อยละ 3 หากมีการจ้างบุคลากรหลักของไทย (Key Personnel) เป็นคณะทำงานในกองถ่ายทำภาพยนตร์ อาทิ เช่น ผู้กำกับ นักแสดงหลัก เป็นต้น
- ร้อยละ 3 หากมีการถ่ายทำในจังหวัดเมืองรอง จำนวน 55 จังหวัด ตามนโยบายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
- ร้อยละ 2 หากมีค่าใช้จ่ายในกระบวนการหลังการถ่ายทำ (Post – Production)
- ร้อยละ 5 หากเริ่มถ่ายทำในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564-31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 และมีค่าใช้จ่ายในประเทศไทยตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป
ทั้งนี้ คณะถ่ายทำต่างประเทศจะได้รับเงินคืนจำนวนไม่เกิน 150 ล้านบาทต่อเรื่อง
และมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นักแสดงต่างชาติ (เฉพาะที่แสดงภาพยนตร์ซึ่งดำเนินการสร้างโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ) เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 66 และจะมีผลบังคับในวันที่ 2 ส.ค. 66 นี้
โดยมาตรการดังกล่าว ประกาศในกฎกระทรวง ฉบับที่ 387 (พ.ศ.2566) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งระบุไว้ว่า “กำหนดให้เงินได้ที่นักแสดงสาธารณะซึ่งเป็นนักแสดงภาพยนตร์ผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศได้รับ อันเนื่องมาจากการแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ ภายใน 5 ปีนับแต่วันที่
กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
ทั้งนี้ เฉพาะภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งดำเนินการสร้างโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและได้รับอนุญาตการสร้างตามกฎหมายว่าด้วยภาพยนตร์และวีดิทัศน์”
มาตรการดึงดูดกองถ่ายฯ สร้างผลบวก-ผลลบอย่างไร ?
ในแง่ผลบวก มาตรการเหล่านี้ช่วยให้สามารถดึงดูดกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ ให้เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยได้มากขึ้น จากต้นทุนเดิมที่มีอยู่ของไทย ทั้งสภาพแวดล้อม บรรยากาศการทำงาน รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยที่มีความสวยงาม และช่วยสร้างเงินหมุนเวียนให้กับพื้นที่และชุมชนต่าง ๆ
รวมถึงเป็นโอกาสให้ทีมงานถ่ายทำหรือคนเบื้องหลังของประเทศไทย เพราะการเข้ามาของกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ ทำให้ทีมงานคนไทย มีโอกาสในการได้เรียนรู้และพัฒนาการทำงานจากทีมงานต่างชาติมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ทุก ๆ มาตรการที่เกิดขึ้น มีทั้งผลบวก และผลลบเกิดขึ้น
การวิจัย เรื่อง ผลกระทบของมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ต่อโอกาสในการเป็นจุดหมายการถ่ายทำภาพยนตร์ของภูมิภาคหลัง COVID -19 ของ วรลักษณ์ กล้าสุคนธ์ และ ศักดิ์สิทธิ์ ทวีกุล จากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีการศึกษาถึงผลเสียที่เกิดขึ้นจากมาตรการดังกล่าว
ปัญหาหลัก ๆ ที่พบ คือ เรื่องสถานที่ ค่าเช่าพื้นที่สำหรับการถ่ายทำที่เพิ่มขึ้น เรื่องทีมงานหรือโปรดักชั่นเฮ้าส์หน้าใหม่ ขาดประสบการณ์ ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความเป็นมืออาชีพในการทำงาน รวมถึงปัญหาในมาตรการ ทั้งการปรับตัว ปรับการทำงานให้สอดคล้องกับระเบียบของมาตรการ และความไม่เท่าเทียมในการสนับสนุนมาตรการของภาครัฐ
ประเทศไทย พร้อมแค่ไหน-มีอะไรรออยู่ข้างหน้า ?
สำหรับประเทศไทย นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เหมาะกับการถ่ายทำงานรูปแบบต่าง ๆ แล้ว ยังมีทีมงาน บุคลากรคุณภาพ ที่มีประสบการณ์การทำงานสูง และมีประสบการณ์ทำงานกับทีมต่างประเทศ
รวมถึงธุรกิจด้านการผลิตคอนเทนต์ที่มีศักยภาพสูง ตั้งแต่บุคลากรขององค์กร ไปจนถึงอุปกรณ์การทำงาน และสถานที่ถ่ายทำ โดยเฉพาะสตูดิโอถ่ายทำ ซึ่งบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่หลายราย ลงทุนหลักพันล้านบาทในการสร้างสตูดิโอบนมาตรฐานการถ่ายทำที่เป็นมาตรฐานสากล ทั้งอุปกรณ์การถ่ายทำ และการออกแบบพื้นที่สตูดิโอ
และที่ผ่านมาเอง ประเทศไทยได้รับเลือกจากกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศหลาย ๆ เรื่องที่มีชื่อเสียง เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย ตั้งแต่ภาพยนตร์ ละครซีรีส์ จนถึงโฆษณาต่าง ๆ
แต่ความท้าทายที่ต้องจับตามอง คือ การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและโปรดักชั่นเฮ้าส์ โดยเฉพาะโปรดักชั่นเฮ้าส์หน้าใหม่ ให้มีความสามารถและการทำงานที่มืออาชีพมากขึ้น ควบคู่กับการดูแลคนทำงานทั้งกองถ่ายภาพยนตร์ จนถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทุกประเภท ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ไปจนถึงความท้าทายจากต่างประเทศในการพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิง ให้มีคุณภาพและทันสมัยทัดเทียมต่างประเทศ และมาตรการต่าง ๆ ของต่างประเทศที่แข่งขันกันเพื่อผลักดันให้เข้ามาถ่ายทำมากขึ้น
ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐต้องสร้างความโปร่งใส ชัดเจน และคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ในการขออนุญาตการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ เพราะก่อนหน้านี้ มีกรณีการฟ้องร้องเรื่องการถ่ายทำภาพยนตร์ “เดอะบีช” ที่สร้างความเสียหายให้กับ อ่าวมาหยา เขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ และกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องในเวลาต่อมา
อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องเร่งจัดการ คือ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤาภาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งหลาย ๆ ธุรกิจต่างเฝ้ารอโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ ไปจนถึงนโยบายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยปัญหาดังกล่าว กระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของธุรกิจต่าง ๆ ทั้งธุรกิจในไทยและธุรกิจต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาลงทุนในไทย
จากนี้ ต้องติดตามต่อไปว่า รัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ จะสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างชาติได้มากขนาดไหน และอุตสาหกรรมบันเทิงของไทย จะมีการพัฒนาไปในทิศทางไหน และต่อสู้กับต่างประเทศได้อย่างไร