อย.ชี้เก็บภาษีเครื่องดื่มตามปริมาณ “น้ำตาล” ไม่เป็นภาระประชาชน

วันที่ 15 สิงหาคม น.ส.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีกระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอัตราภาษีเครื่องดื่มตามระดับความหวาน รองรับ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ว่า คำนิยามของเครื่องดื่มที่จะต้องเสียภาษีตามค่าความหวานหรือภาษีน้ำตาลนั้น กรมสรรพสามิตได้อ้างอิงตามคำนิยามของ อย. ซึ่งไม่ได้มีแค่เครื่องดื่มที่เป็นน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเครื่องดื่มผงที่ต้องชงดื่ม เช่น กลุ่มทรีอินวัน เป็นต้น หรือเครื่องดื่มที่เป็นหัวเชื้อ เช่น น้ำหวานเข้มข้น เป็นต้น ที่จะต้องนำมาผสมน้ำตามอัตราส่วนบนฉลากเพื่อเป็นเครื่องดื่มในการบริโภคด้วย

“สำหรับการคิดอัตราภาษีความหวานนั้นจะเป็นลักษณะของ “เซิร์ฟวิงไซส์ (Serving Size)” คือวัดค่าน้ำตาลตามหน่วยบริโภค อย่างน้ำหวานเข้มข้น ก็จะคิดหลังจากผสมน้ำตามสัดส่วนที่กำหนดแล้ว เช่น ผสมออกมาเป็น 1 แก้ว 200 มิลลิลิตร มีน้ำตาลอยู่เท่าไร ก็ค่อยคิดภาษีตามอัตราใหม่ที่กรมสรรพาสามิตกำหนด” น.ส.ทิพย์วรรณ กล่าว และว่า การที่ อย.มีข้อกำหนดในเรื่องของฉลากโภชนาการด้านหลังของผลิตภัณฑ์ และฉลากหวานมันเค็ม หรือฉลากจีดีเอ เพื่อแสดงข้อมูลส่วนผสมของเครื่องดื่ม ช่วยให้กรมสรรพสามิตทราบถึงส่วนประกอบทั้งหมดภายในผลิตภัณฑ์นั้น และจัดเก็บภาษีได้ง่ายขึ้น

เมื่อถามถึงน้ำผักผลไม้จำนวน 111 รายการที่ได้รับการยกเว้นการเสียภาษีสรรพสามิต เพื่อช่วยเหลือภาคเกษตรกร แต่ต้องมาเสียภาษีน้ำตาลแทน น.ส.ทิพย์วรรณ กล่าวว่า ปัจจุบันเครื่องดื่มมากกว่าร้อยละ 50-60 ล้วนมีส่วนผสมของน้ำตาลทั้งสิ้น อย่างน้ำผัก น้ำผลไม้ก็มีการเติมน้ำตาลลงไปอีก ทั้งที่ผักหรือผลไม้ก็มีน้ำตาลในตัวเองอยู่แล้ว อย.จึงเสนอว่าไม่ควรยกเว้น ควรมีการจัดเก็บภาษีที่ทัดเทียมกัน ที่สำคัญเพื่อให้เป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพจริงๆ สำหรับการคิดภาษีน้ำตาลจะคิดแบบ “โทเทิลซูการ์ (Total Sugar)” คือน้ำตาลทั้งหมดในเครื่องดื่ม ไม่มีการแยกว่าเป็นน้ำตาลที่เกิดจากวัตถุดิบของเครื่องดื่มอยู่แล้ว เช่น น้ำตาลจากผักและผลไม้ เป็นต้น แล้วจะไม่คิดภาษี เพราะการตรวจสอบทำได้ยากและค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงใช้วิธีการคิดน้ำตาลทั้งหมดในเครื่องดื่ม

ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อกังวลจะเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค เพราะหากเสียภาษีมากขึ้นก็อาจคิดราคาเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น น.ส.ทิพย์วรรณ กล่าวว่า แนวโน้มไม่น่าเป็นเช่นนั้น เพราะจากการที่มีการส่งสัญญาณเรื่องการเก็บภาษีตามค่าน้ำตาลหรือความหวานมาก่อนหน้านี้ พบว่า ผู้ประกอบการเครื่องดื่มให้ความสนใจจำนวนมาก จะเห็นได้ว่าตลาดเครื่องดื่มขณะนี้มีผลิตภัณฑ์ประเภทสูตรน้ำตาลน้อยออกมามากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเองก็อยากจะปรับตัวทำเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เพื่อรองรับเทรนด์รักสุขภาพที่กำลังมาในช่วงนี้ และเป็นการทดลองตลาดก่อนที่จะมีการเก็บภาษีจริง ซึ่งเท่าที่มีผู้ประกอบการเครื่องดื่มเข้ามาพูดคุยกับ อย.หลายรายก็พบว่า ยินดีที่จะทำสูตรน้ำตาลน้อยลงทั้งนั้น เพราะตลาดมีความเป็นไปได้ ลดต้นทุนจากการใช้น้ำตาล และจ่ายภาษีน้อยลง และที่สำคัญเป็นการเริ่มพร้อมกันทั่วประเทศในการคิดภาษี ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ที่สำคัญหากเป็นสูตรน้ำตาลน้อย ก็สามารถมาขอฉลาก “ทางเลือกเพื่อสุขภาพ (Healthier Choice)” จาก อย.ได้อีก ก็เป็นการการันตีว่า เป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ

 

ที่มา มติชนออนไลน์