Robot Trading สัญชาติไทย “มหาบอท” พลิกขาดทุนเป็นกำไร

นภัทร ศิริธรรม
สัมภาษณ์

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี เปิดตลอด 24 ชม. ทำให้บรรดานักลงทุนจำนวนไม่น้อยต้องอดหลับอดนอนนั่งเฝ้ากราฟเทคนิค ยิ่งในช่วงตลาดขาลงที่ความผันผวนรุนแรงยิ่งไม่ง่าย

ท่ามกลางสารพัด “เพนพอยต์” นำมาสู่โอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาหุ่นยนต์ช่วยเทรด (Robot Trading) หนึ่งในนั้นคือ “มหาบอท” (MA 5 Bot) โดยนักพัฒนาคนไทย 5 คน ที่พัฒนาใช้กันเองในกลุ่มเพื่อน ก่อนจะนำมาต่อยอด และเปิดให้บริการจนกลายเป็น Robot Trading ที่มีปริมาณการเทรดอันดับที่ 15 ในกระดานเทรดระดับโลกที่วอลุ่มในการเทรดวันละ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ

จุดเริ่มต้น “มหาบอท”

“นภัทร ศิริธรรม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MA 5 BOT (มหาบอท) ซอฟต์แวร์ช่วยซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีอัตโนมัติ ย้อนเล่าถึงที่มาที่ไปว่า โดยส่วนตัวเป็นนักลงทุน และมีประสบการณ์ในฐานะนักพัฒนาซอฟต์แวร์มาบ้าง ในช่วงปี 2560 ที่ตลาดคริปโตเป็นขาขึ้น จึงชักชวนเพื่อน 5 คนพัฒนา “บอตช่วยเทรด” เพื่อนำไปใช้กับกระดานเทรดต่างประเทศ โดยใช้เทคนิควิเคราะห์กราฟ ด้วยเครื่องมือ MA (Moving Average), CDC Action Zone, EMA, Boll เมื่่อต้องจดโดเมนเนมจึงตั้งชื่อจากเครื่องมือที่ชอบใช้คือ MA รวมกับสมาชิก 5 คนเป็น “MA 5” แล้วเติมคำว่า “บอท” เข้าไปเป็น “MA 5 BOT”

“พอพัฒนาเสร็จก็ลองให้เพื่อน ๆ ที่รู้จักกันทดลองใช้ ก็รับฟีดแบ็กว่าใช้ดี เขาบอกว่า มหาบอท ใช้ดี เราก็ปิ๊งว่าอ่านเป็นภาษาไทยแบบนั้นได้ แต่จุดเริ่มต้นที่ทำให้นำออกมาให้บริการจริงจัง ก็เพราะธุรกิจที่ทำอยู่ประสบปัญหา ต้องเล่าย้อนว่าผมมีแบ็กกราวนด์เป็นโปรแกรมเมอร์ แต่สนใจด้านการตลาดออนไลน์ จึงเปิดบริษัททำเอเยนซี่โฆษณาออนไลน์ ปรากฏว่าช่วงโควิดรายได้ติดลบ 70% ราวกลางปีที่แล้วมาถึงจุดที่ฝ่ายบัญชีบอกว่าเงินของบริษัทเหลือไม่พอจ่ายเงินเดือนพนักงานแล้ว”

เป็นจุดเริ่มต้นให้ “เขา” ต้องเริ่มกลับมาคิดว่าจะทำอะไรได้บ้างเพื่อความอยู่รอด นำไปสู่การนำ “มหาบอท” ออกมาให้บริการ

Advertisment

“พนักงานฝ่ายการตลาดจากบริษัทเอเจนซี่ของผมจึงหันมาทำตลาดบอตตัวนี้แทน เพราะไม่มีงาน ปรากฏว่าเวิร์ก แค่เดือนแรกก็มีรายได้ถึง 1.1 ล้านบาท (ก.ค. 2564) จนมีเงินพอจ่ายเงินเดือนพนักงาน ถึงสิ้นปี 2564 มีรายได้รวมกว่า 10 ล้านบาท เป็นกำไรถึง 6 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเกือบ 4,000 บัญชี เราคิดค่าบริการเดือนละ 2,000 บาท ช่วงแรกใช้กันในหมู่นักเทรด และมีอินฟลูเอนเซอร์แนะนำวิธีการใช้ ต่อมามีการบอกต่อกันมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างนักเทรด เกิดเป็น Community ซึ่งทำให้ทีมนำข้อแนะนำต่าง ๆ มาพัฒนาเพิ่มเทคนิคและกลยุทธ์การเทรดต่าง ๆ จนบอตมีกว่า 70 กลยุทธ์ ตามความต้องการของนักเทรดที่ชื่นชอบ หรือมีความถนัดในกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป”

จับจังหวะตลาดขาลง

“นภัทร” กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีปัจจุบันว่า จังหวะขาลงรอบนี้ต่างจากรอบที่ผ่านมา เพราะมีนักลงทุนสถาบันเข้ามามากขึ้น ส่งผลให้ระยะเวลาของตลาดหมีสั้นลง (ช่วงที่ราคาหุ้นลดลงต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีปริมาณการซื้อขายน้อย) ซึ่งช่วงตลาดหมี เป็นโอกาสที่ดีในการลง และเหมาะกับการใช้ “บอต” เพราะบอตสร้างขึ้นมา เพื่อใช้ซื้อขายช่วงที่ตลาดพักตัว ซึ่งตลาดหมีเคยพักตัวเป็นปีทำให้นักเทรดที่ไล่ถัวเฉลี่ยราคาด้วยตนเองเกิดความผิดพลาดได้ง่าย

“ช่วงที่ตลาดกลับตัวเป็นหมี นักลงทุนหลายรายขาดทุน เพราะพอถึงจุดที่ต้องตัดขาดทุนก็ไม่กล้า นั่งลุ้นให้ขึ้น หรือถึงจุดที่ต้องขายทำกำไรกลับเกิดความโลภว่าราคาอาจขึ้นไปอีก สุดท้ายไม่ได้กำไรก็มี ขณะที่ตลาดคริปโตเปิด 24 ชม. ตลอด 7 วัน การนั่งเฝ้าจอทุกวันคงไม่ไหว บอตและระบบเทรดอัตโนมัติจึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้”

นอกจากนี้ ช่วงตลาดหมีคริปโตยังเหมาะกับเทคนิค Rebalance เพราะคริปโตเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง มีการเหวี่ยงขึ้นลงของราคารุนแรงกว่าสินทรัพย์อื่น แม้จะเป็นช่วง SideWays ก็ตาม ซึ่งในการเหวี่ยงของราคา “นักเทรด” ก็สามารถทำกำไรได้ทีละนิด โดยอาศัยความต่อเนื่อง

Advertisment

เทคโนโลยีตัวช่วยการลงทุน

“มหาบอททำงานด้วยอัลกอริทึ่มที่เรียกว่า Rebalance โดยคำนวณมูลค่าทรัพย์สินและเงินสดที่มี ในช่วงราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่เลือกเพิ่มขึ้น อัลกอริทึ่มจะตัดขายสินทรัพย์ที่ถือออกไปทีละนิดตลอดทาง แต่ไม่หมดมือ เพราะระหว่างขายระบบจะช่วยบาลานซ์ให้เท่ากัน กรณีราคาลงระบบจะช่วยเฉลี่ยซื้อ ทำให้ผู้ใช้บอตมี Cash Flow ตลอด จะทำ Performance ได้ดีกว่าการทำ DCA เนื่องจากการ DCA ยังต้องใช้มือ และนักเทรดไม่สามารถเฉลี่ยได้ในอัตราที่เหมาะสม”

อย่างไรก็ตาม การลงทุนผ่าน “บอต” ต้องมีความรู้ และมีทัศนคติที่ดี เพราะ คริปโตเป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูง ไม่ควรทุ่มเงินเก็บ หรือลงทุนรวดเดียวแล้วคาดหวังว่าจะรวยวันรุ่งขึ้น นั่นเป็นทัศนคติของนักพนันที่ไม่ควรใช้ในการลงทุน โดยส่วนตัวจัดสัดส่วนไว้เพียง 1-10% ของพอร์ตลงทุนเท่านั้น

“การลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงมาก แต่ต้องเสี่ยงแบบคนที่เข้าใจ มีกลยุทธ์ และเลือกใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยให้เป็น ให้เสี่ยงน้อยที่สุด ซึ่งทีมพัฒนาได้ปิดระบบบางส่วนเพื่อป้องกันความผิดพลาดไปแล้ว ส่วนการป้องกันความเสี่ยงด้วยอนุพันธ์ฟิวเจอร์ บอตจะใช้กลยุทธ์จากสัญญาณทางเทคนิคเพื่อ Short&Long ส่วนนี้ไทยยังไม่อนุญาต เราจึงถอดเครื่องมือด้านกลยุทธ์กว่า 70 เครื่องมือออกไป และเตรียมเชื่อมระบบกับกระดานเทรดของไทย โดยจะให้บริการเพียงอัลกอริทึ่มรีบาลานซ์เท่านั้น”

อัพสปีดขยายตลาดอาเซียน

“นภัทร” กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับกระดานเทรดคริปโตในไทยหลายราย เพื่อนำ API ไปเชื่อมต่อเพื่อให้นักเทรดใช้ “บอตรีบาลานซ์” บนกระดานเทรดไทยได้มากขึ้น โดยได้ส่งเอกสารและขอการรับรองจากสำนักงาน ก.ล.ต.ด้วย แต่ทาง ก.ล.ต.ตอบกลับว่า “มหาบอท” ไม่ได้มีการนำเงินลูกค้าไปลงทุน โยกย้าย หรือเก็บรักษาไว้ และโดยสถานะเป็นเพียง “ซอฟต์แวร์” เท่านั้น จึงไม่เกี่ยวกับ ก.ล.ต.แต่อย่างใด

“เราอยากได้การยืนยัน หรือเอกสารรับรองจาก ก.ล.ต. แต่ ก.ล.ต.ส่งอีเมล์กลับมาว่าไม่เกี่ยวกับเขา”

สำหรับเป้าหมายในการทำตลาดในไทยในปีนี้ หลังจากเริ่มเชื่อมต่อกับกระดานเทรดของไทยแล้ว คาดว่าจะเพิ่มยอดผู้ใช้บริการได้ถึง 6,000 ราย และปริมาณการซื้อขายราว 9,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2565 ซึ่งก้าวต่อไปจะขยายบริการไปในประเทศเวียดนามและฟิลิปปินส์

เพราะแม้จะยังไม่มีกฎระเบียบหรือข้อกฎหมายที่ชัดเจน แต่นักลงทุนในทั้งสองประเทศนิยมเทรดคริปโตจึงเป็นโอกาสในการเพิ่มฐานลูกค้า โดยภายในไตรมาส 2/2566 ถึงสิ้นปี จะมีผู้ใช้ถึง 20,000 ราย มีปริมาณการซื้อขายราว 25,000 ล้านบาท

ซีอีโอ “มหาบอท” กล่าวถึงเป้าหมายในอนาคตด้วยว่า ต้องการทำให้ “มหาบอท” เป็น Robot Trading อันดับหนึ่งในอาเซียน ด้วย 3 แนวทางคือ 1.ราคาไม่แพงทุกคนเข้าถึงได้ 2.สร้างคอมมิวนิตี้ กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อพัฒนาฟังก์ชั่นให้ดีขึ้น และ 3.ขยายตลาดใน 2 แกน ทั้งในแง่การเป็นระบบเทรดที่ได้รับการยอมรับระดับโลก และขยายระบบให้รองรับตลาดทุนอื่น นอกเหนือไปจากคริปโตด้วย

“มีกลุ่มนักลงทุนที่สนใจจะเข้ามาร่วมลงทุนในมหาบอทที่สัดส่วนประมาณ 10% อยู่ระหว่างการตกลงเรื่องราคา เงินที่ได้มาจะนำมาพัฒนา Operation Team ทำให้เป็นทีมปฏิบัติการที่ใหญ่มาก เพื่อประกบผู้ใช้งานใหม่ เพราะการใช้บอตเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ถ้าอยากให้แพร่หลาย ต้องมีทีมจำนวนมากคอยซัพพอร์ตลูกค้า”