ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในสตาร์ตอัพค่อนข้างจะเงียบเหงา คล้ายเป็นช่วงเวลาของฤดูหนาวที่แช่แข็งทุกอย่างไว้ จากสภาวะทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ และการขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ภาพรวมการลงทุนชะลอตัว
แต่ดูเหมือนว่าปี 2567 ลมหนาวจะพัดผ่านวงการสตาร์ตอัพไปแล้ว เหล่านักลงทุนเริ่มมองหาดีลการลงทุนใหม่ ๆ ในธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต ตรงความต้องการของตลาด มีกองทุนเกิดใหม่ และการจัดตั้งบริษัทด้านการลงทุนทยอยเปิดตัวเรื่อย ๆ
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
ล่าสุด “Canvas Ventures” บริษัทร่วมลงทุนสัญชาติไทย มี “ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์” อดีตผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง
หมดยุคสตาร์ตอัพเผาเงิน
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง Canvas Ventures กล่าวว่า ช่วง startup winter และ venture winter กำลังจะผ่านพ้นไป โดยได้อานิสงส์จากการลดดอกเบี้ยของเฟดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3-4 ปี 2567 ทำให้ภาพรวมของการลงทุนจะฟื้นตัว แต่วิธีการลงทุนเปลี่ยนไป นักลงทุนจะลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสอยู่รอด และเติบโต หมดยุคเผาเงินไปเรื่อย ๆ แบบในอดีตแล้ว
“การเปิดตัว Canvas Ventures ถือเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ช่วงซัมเมอร์ของวงการสตาร์ตอัพที่การลงทุนจะเริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น ถ้าเตรียมการช้ากว่านี้อาจไม่ทันการณ์”
ด้าน นายบุญศักดิ์ ศรีประเสริฐยิ่ง ที่ปรึกษาด้านการลงทุน Canvas Ventures เสริมว่า จากข้อมูลของ Crunchbase บริษัทที่ให้ข้อมูลทางธุรกิจระบุว่า การลงทุนในสตาร์ตอัพในปี 2565 ลดลงจากปี 2564 ถึง 35% ปัจจัยหลักมาจากสภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง นักลงทุนชะลอการลงทุนไปเยอะ และเลือกลงทุนในธุรกิจที่สร้างผลกำไรได้เท่านั้น โดยพิจารณาจากคุณภาพของแผนธุรกิจและความตั้งใจของผู้ก่อตั้งเป็นหลัก
“ภาพรวมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเห็นว่าแกนหลักในการลงทุนกว่า 90% อยู่ที่อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งโจทย์สำคัญของเรา คือทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุน ไทยมีจุดแข็งเรื่องการท่องเที่ยว และเกษตรกรรมเป็นตัวชูโรงอยู่แล้ว แต่ต้องปรับไมนด์เซตของผู้ประกอบการไทยให้หาโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศด้วย เพราะตลาดในประเทศเราเล็กเกินไป”
Canvas Ventures คือใคร
ดร.พันธุ์อาจกล่าวว่า Canvas Ventures เป็นบริษัทร่วมลงทุนที่ต้องการผสานองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีเข้ากับศิลปะจนเกิดเป็นธุรกิจใหม่นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจเก่า (Old Economy) ที่มีอยู่ในไทยอยู่แล้ว ทั้งปิดช่องว่างการลงทุนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเป็นสะพานเชื่อมในการแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ และการข้ามผ่านข้อจำกัดด้านกฎหมาย
“ผมวางแผนทำโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่หมดวาระใหม่ ๆ เพราะต้องการยกระดับระบบนิเวศนวัตกรรมของไทยให้พร้อมต่อการก้าวเข้าสู่ตลาดโลก เมื่อก่อนจะเห็นว่าสินค้านวัตกรรมไม่ค่อยสวย เน้นขายแต่ความล้ำ สื่อสารกับคนลำบาก เราจะทำให้เรื่องเทคโนโลยีและศิลปะไปด้วยกันได้ ที่มาชื่อ Canvas Ventures มาจากความต้องการที่จะสร้างธุรกิจใหม่ คล้าย ๆ การสร้างผลงานคุณภาพบนผืนผ้าใบเปล่า”
การลงทุนจะโฟกัสไปที่ 4 กลุ่มธุรกิจ แบ่งหมวดหมู่เป็น “สี” ต่าง ๆ ดังนี้
1.เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
2.เศรษฐกิจสีเงิน (Silver Economy) หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้สูงวัย
3.เศรษฐกิจสีส้ม (Orange Economy) หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
4.เศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับกลุ่ม LGBTQIA2S+
ดร.พันธุ์อาจกล่าวต่อว่า แผนงานปีนี้จะเน้นสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบริษัท ให้ความสำคัญกับโปรไฟล์ของผู้บริหารแต่ละคนมาก จะเห็นว่าเป็นผู้ที่อยู่ในวงการสตาร์ตอัพ มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่จะเข้าไปลงทุนอยู่แล้ว โฟกัสการลงทุนในระยะเริ่มต้น (Preseed/Seed) และระยะเข้าสู่ตลาด (Go-to-Market) เพราะเป็นส่วนที่ขาดแคลนการลงทุนจากนักลงทุน
“การลงทุนในแต่ละกลุ่มบอกเป็นสัดส่วนยาก ขึ้นกับมูลค่าดีลที่ตกลงกัน ส่วนเงินทุนที่ลงได้แต่ละรอบ (Ticket Size) อยู่ที่ 5 แสน-1 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะมีการคุยกับพาร์ตเนอร์ที่สนใจอย่างต่อเนื่อง ด้วยความที่เราลงทุนแบบแอ็กทีฟ มีการโค้ชให้ด้วย จึงคาดว่าในอีก 5 ปี น่าจะมีดีลประมาณ 20 ดีล ดีลแรก ๆ น่าจะปลายปีนี้”
ชูจุดเด่นลงทุนสไตล์ “กงสี”
ดร.พันธุ์อาจกล่าวต่อว่า Canvas Ventures เป็นบริษัทร่วมลงทุนแบบ Multifamily Office หรือบริษัทที่บริหารเงินลงทุนจากธุรกิจครอบครัว มีการรวบรวมเงินทุนจากหลายบริษัท หรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) มาลงทุนในระยะยาว คล้ายการลงทุนด้วยเงินกองกลางของครอบครัวในระบบ “กงสี” เป็นโมเดลที่ใหม่มากสำหรับประเทศไทย แต่ที่ผ่านมาบริษัทในอังกฤษ และจีนมักนำเงินไปลงในสิงคโปร์ มีการตั้งบริษัทลักษณะนี้กว่าพันแห่ง
“เงินลงทุนหลักมาจากกลุ่มธุรกิจครอบครัว หรือคนมีฐานะ จะลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เจ้าของเงินสนใจเพื่อสั่งสมความมั่งคั่งในระยะยาวเกิน 10 ปี คล้ายการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าในกองมรดก ต่างจาก CVC (Corporate Venture Capital) ที่ตามหาทางเลือกใหม่ให้บริษัทตนเอง คาดหวังผลลัพธ์ระยะสั้น มองว่าการลงทุนลักษณะนี้เพิ่มตัวเลือกให้สตาร์ตอัพด้วย”
ผศ.ดร.ทิพวรรณ ปิ่นวนิชย์กุล คณะกรรมการบริหาร Canvas Ventures เสริมว่า ตัวอย่างการลงทุนในลักษณะนี้ เช่น ธุรกิจครอบครัวในฝรั่งเศสเอาเงินมรดกมาตั้งกองทุนเกี่ยวกับป่าไม้ พอถึงรอบก็ตัดต้นไม้ขายไปเรื่อย ๆ หรือลงทุนในสตาร์ตอัพที่พัฒนาโซลูชั่นเกี่ยวกับการบริหารพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น
ผสานความร่วมมือไทย-ฝรั่งเศส
ดร.พันธุ์อาจกล่าวด้วยว่า ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) เยอะมาก จะเห็นว่าใน 10 ปีที่ผ่านมา อันดับด้านนวัตกรรมของฝรั่งเศสเขยิบขึ้นมาที่ 11 จาก 21 ยิ่งในยุคประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง มีการทุ่มงบฯวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 5,000 ล้านยูโร ทำให้ระบบนิเวศนวัตกรรมแข็งแรงขึ้น
“ความร่วมมือระหว่างเรากับฝรั่งเศสจะทำให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนานวัตกรรมซึ่งกันและกัน ไปจนถึงการเพิ่มโอกาสที่สตาร์ตอัพไทยจะออกสู่ตลาดใหม่ ๆ ตอนนี้รัฐบาลไทยตั้งเป้าทำให้ไทยเป็นฮับการบินของโลก ที่ผ่านมาเราทำงานร่วมกับทีมวิจัยของฝรั่งเศสที่พัฒนาโซลูชั่นบริหารจัดการการบิน เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดความร่วมมือและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น”
นายอลิกซ์ แอนดลอเออร์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนชาวฝรั่งเศสที่มีประสบการณ์ด้านการประกอบการธุรกิจนานาชาติ (Serial Entrepreneur) เสริมว่าCanvas Ventures จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมการลงทุนระหว่างไทยและฝรั่งเศส ไปจนถึงการขยายตลาดของกลุ่มสตาร์ตอัพ ซึ่งอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การขยายตลาดเป็นไปได้ยาก คือข้อบังคับกฎหมาย และการนำเสนอจุดเด่นของแต่ละประเทศผ่านการสื่อสารที่ชัดเจน
“นอกจากกรุงเทพฯ เรายังมีสำนักงาน ณ กรุงปารีส ที่จะเป็นสะพานเชื่อมนักลงทุนชาวไทย และเอเชียที่สนใจใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมของฝรั่งเศส บริษัทมีทีมที่เชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจและการลงทุนโดยเฉพาะ เชื่อว่าจะอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนระหว่างฝรั่งเศส และไทยให้ง่ายขึ้นได้”