“ไอทีซิตี้” โหม “omnichannel” ดึง เครือข่ายร้านค้าปลีกเชื่อมช่องทางออนไลน์ ปรับสาขา 417 แห่งเป็นจุด drop point เสริมศักยภาพงานบริการ ใช้ “บิ๊กดาต้า” วิเคราะห์ลูกค้าออกโปรแกรมเงินผ่อนเร่งการตัดสินใจซื้อ ชี้กระแสบิตคอยน์-WFH ดัน “การ์ดจอ-โน้ตบุ๊ก-คอมพ์ฯ DIY” โต มั่นใจปั๊มยอดขายแตะหมื่นล้านบาทในสิ้นปี
นายเกษม ศรีเลิศชัยพานิช รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดออนไลน์ บริษัท ไอทีซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแผนการดำเนินงานปี 2564 ว่าจะโฟกัสไปที่การทำ “omnichannel” โดยใช้สาขาเป็นจุด “drop point” ให้บริการหลังการขาย หลังควบรวมกับซีเอสซีเมื่อปี 2562 ทำให้มีสาขาในเครือกว่า 417 สาขาทั่วประเทศ
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
แบ่งเป็นไอทีซิตี้ 131 สาขา และซีเอสซี 286 สาขา จึงให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมมากขึ้น โดยจะเร่งขยายสาขาไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน และคำนึงถึงความสามารถในการขายของพนักงานหน้าร้าน รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคในพื้นที่ควบคู่กันด้วย
ขณะที่การทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ เริ่มมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้ไอทีซิตี้หันมาให้ความสำคัญกับการใช้บิ๊กดาต้าวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ทั้งในเว็บไซต์หลัก, เฟซบุ๊ก และมาร์เก็ตเพลซต่าง ๆ อาทิ “ลาซาด้า และช้อปปี้” ตั้งแต่ขั้นเริ่มรู้จักแบรนด์จนไปถึงขั้นการตัดสินใจซื้อเพื่อออกแบบบริการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุด
ทั้งยังมีแผนที่จะให้บริการไมโครไฟแนนซ์ “ผ่อนชำระสินค้า” ในระยะเวลาที่ยาวขึ้น จากปัจจุบันสูงสุด 36 เดือน ด้วยการประเมินรายจ่ายรายเดือน และขีดความสามารถในการชำระดอกเบี้ยของผู้บริโภค เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้เสียในระบบ
“omnichannel จะกลายเป็นนิวนอร์มอลของธุรกิจค้าปลีกไอที ซึ่งแต่ละเจ้าก็จะตีความไม่เหมือนกันตามศักยภาพที่มี ดังนั้นความท้าทายคือ การทำให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและได้รับบริการเหมือนกัน ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้ทุกเจ้าเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อให้สามารถแข่งขันกับธุรกิจค้าปลีกด้วยกันและมาร์เก็ตเพลซได้”
อย่างไรก็ตาม ไอทีซิตี้ได้รับผลจากโควิด-19 ระลอกใหม่ด้วยเช่นกัน แม้ผู้บริโภคจะมีความต้องการสินค้าไอที ทั้งคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กเพิ่มขึ้น จากกระแสเวิร์กฟรอมโฮมที่กลับมาอีกครั้ง แต่จะเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่าซื้อจากหน้าร้าน ทำให้ยอดขายออฟไลน์ลดฮวบ โดยเฉพาะสาขาที่อยู่ในพื้นที่สีแดง เช่น แถบบางแคและพระราม 2 เป็นต้น ขณะที่ยอดขายออนไลน์เติบโตขึ้น 20% คาดว่าจะโตต่อเนื่องตลอดทั้งปีไม่ต่ำกว่านี้
“สินค้าที่ได้รับอานิสงส์คงหนีไม่พ้นการ์ดจอจากกระแสขุดบิตคอยน์ รองมาเป็นคอมพิวเตอร์ประกอบเองหรือดีไอวายที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มเกมมิ่งและโน้ตบุ๊กที่ใช้สำหรับทำงานและเรียนออนไลน์”
นายเกษมกล่าวต่อว่า ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าไอทีสูงขึ้น ซัพพลายจึงผลิตไม่ทันกับความต้องการ ราคาเฉลี่ยของสินค้าไอทีทุกกลุ่มจึงมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้น ส่งผลดีให้กับธุรกิจค้าปลีกไอที
และบริษัทคาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 7,007 ล้านบาท หรือโตขึ้น 30.88% จากปี 2562