คอลัมน์ สตาร์ตอัพปัญหาทำเงิน : Regen Villages หมู่บ้านแห่งอนาคต

ภาพจาก www.effekt.dk/regenvillages

โดย มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ


ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายคนคงรู้สึกว่าภัยธรรมชาติดูรุนแรงและมาถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม น้ำหลาก ไฟป่า พายุ แผ่นดินไหว จัดเต็มแบบไม่มีเหลื่อมล้ำ ทั้งประเทศร่ำรวยและยากจนโดนกันถ้วนหน้า และถ้ามนุษย์เรายังคงเพลิดเพลินกับการย่ำยีธรรมชาติ ล้างผลาญทรัพยากร แถมปล่อยก๊าซเรือนกระจกกันเป็นว่าเล่นเช่นนี้ต่อไป ภาวะโลกร้อนก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผืนดินแหล่งน้ำเสื่อมโทรมและก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย หนึ่งในนั้น คือ ภาวะขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม

สตาร์ตอัพที่เราจะพูดถึงในวันนี้ นำเสนอไอเดียการสร้างหมู่บ้านแนวใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตพลังงาน และอาหารเพื่อเลี้ยงดูคนในหมู่บ้านอย่างถ้วนทั่ว ทำให้เป็นชุมชนพึ่งพาตนเองอย่างเต็มรูปแบบโดยไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สตาร์ตอัพแห่งนี้มีชื่อว่า “Regen Villages” ก่อตั้งในปี 2015 โดยร่วมมือกับบริษัทสถาปนิกชื่อดังในเดนมาร์ก “Effekt” ออกแบบหมู่บ้านในฝันนี้ขึ้นมา โดยวางคอนเซ็ปต์เป็นหมู่บ้านแนว regenerative คือทรัพยากรทุกอย่างจะวนกลับมาใช้ใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่มีเหลือทิ้งให้สูญเปล่า

ดังนั้นนอกจากบ้านจะหน้าตาดูดีสวยเก๋ สไตล์สแกนดิเนเวียแล้ว ยังออกแบบมาโดยคิดถึงการประหยัดพลังงานเป็นหลัก เช่น มีการสร้างเรือนกระจกครอบลงมาทั้งตัวบ้านเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ติดแผงโซลาร์บนหลังคาเพื่อผลิตพลังงาน แถมเจ้าเรือนกระจกนี้ยังคลุมมาถึงพื้นที่ข้างบ้านเพื่อให้เจ้าของใช้เป็นที่ ปลูกผักสวนครัวได้ด้วย

สำหรับพื้นที่ส่วนกลาง แทนที่จะมีสโมสร สระว่ายน้ำ สนามเทนนิส หรือสนามกอล์ฟหรู ๆ ก็เอาพื้นที่เหล่านี้มาทำการเกษตรแบบผสมผสานแทน โดยใช้ระบบที่เรียกว่า aquaponics ซึ่งเป็นการนำเอาของเสียจากครัวเรือนพวกเศษอาหารต่าง ๆ มาเพาะหนอนแมลงวันลาย เจ้าแมลงวันเหล่านี้จะนำมาเป็นอาหารปลา น้ำจากบ่อปลาซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารก็จะลำเลียงไปเป็นปุ๋ยสำหรับแปลงผัก ผลไม้ ที่ปลูกด้วยระบบไฮโดรโพนิกส์อีกที ทั้งหมดทั้งมวลนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าเพาะปลูกธรรมดาถึง 10 เท่า และใช้น้ำน้อยกว่าเดิมถึง 90%

ในโครงการยังกันพื้นที่ไว้ เลี้ยงไก่ไข่ และปลูกพืชผลตามฤดูกาลเพิ่มเติมอีก ซึ่งแหล่งอาหารเหล่านี้จะดูแลโดยคนงานของหมู่บ้าน โดยลูกบ้านจะต้องจ่ายค่าส่วนกลางประมาณเดือนละ 500 ยูโร แต่หากลูกบ้านคนใดอาสามาลงแรงช่วยงานในฟาร์ม ก็สามารถนำมาหักเป็นส่วนลดค่าส่วนกลางได้

ในแง่ของน้ำและไฟ ก็มีระบบเก็บกรองน้ำฝน และน้ำทิ้ง เพื่อใช้ในการเกษตร มีระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานมวลชีวภาพ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ อีกทั้งมีการสร้างโรงงานก๊าซชีวภาพเพื่อนำเอาของเสียเหลือใช้มาผลิตเป็น พลังงานเพื่อป้อนเครือข่ายไฟฟ้าของหมู่บ้าน ซึ่งนอกจากจะใช้ในครัวเรือนแล้ว ยังใช้ในสถานีชาร์จแบตสำหรับรถไฟฟ้าด้วย

เรียกได้ว่า ถ้าเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง หรือเกิดวิกฤตพลังงานไฟดับทั่วเมือง หมู่บ้านนี้ก็ยังอยู่ได้ เพราะมีพลังงานและอาหารสำรอง ไม่ต้องแย่งชิงกักตุนอาหารเหมือนคนอื่น

“เจมส์ เอ็นกริช” ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง Regen Villages บอกว่า โครงการแรกจะสร้างเสร็จภายในอีก 18 เดือนข้างหน้า โดยเป็นโครงการหมู่บ้าน 100 หลังคาเรือน ในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เมือง Almere ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัมแค่ 20 นาที

แม้ลูกบ้านอาจจะต้องซื้อหาอาหารบางอย่างเอง เช่น ชา กาแฟ อาหารกระป๋องต่าง ๆ แต่ปริมาณอาหารที่ผลิตได้เองในหมู่บ้านก็น่าจะเพียงพอต่อการบริโภคจริงอย่าง น้อย 50% และบางโครงการอาจถึง 100% ขึ้นอยู่กับรสนิยมการบริโภคของลูกบ้านและสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูกด้วย

เขามีแผนจะขยายโครงการไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรปตอนเหนืออีกเช่น นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก เบลเยียม และ เยอรมนี โดยเหตุผลที่เลือกประเทศเหล่านี้ เพราะโครงการลักษณะนี้ราคาไม่ได้ถูก (เฉลี่ยตกหลังละ 200,000 ยูโร) ในโครงการที่ Almere เลยต้องเริ่มจากตลาดที่มีกำลังซื้อก่อน อีกทั้งยังต้องการพิสูจน์ประสิทธิภาพของระบบว่าสามารถรองรับความต้องการ พลังงานในเขตพื้นที่หนาวเย็นทั้งปีแบบนี้ได้ดีเพียงใด

หลังจากนี้มีแผนจะไปทำโครงการที่แถบตะวันออกกลางที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งด้วย หากผลออกมาดีจะเริ่มขยายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศแถบแอฟริกา และเอเชียใต้ ที่ส่อแววจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนสูงกว่าที่อื่น

จากการรายงานของ The Guardian ระบุว่า โครงการที่ Almere มีคนสนใจเข้าชื่อจองกันแล้วกว่า 1,200 คน เท่าที่ผ่านมาโครงการของ Regen Villages เป็นที่สนใจของสื่ออยู่เนือง ๆ เพราะชนะรางวัลด้านการดีไซน์และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาแล้วหลายเวทีระดับโลก

ถ้าทำออกมาแล้วดีงามตามคอนเซ็ปต์ ก็น่าจะเป็นโมเดลสำหรับโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมืองในอนาคต แค่หวังว่าพอฮิตกันมาก ๆ แล้วเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกลงพอให้คนทั่วไปได้เสาะหามาใช้บ้าง เพราะหากสิ่งที่ UN คาดการณ์ไว้เป็นจริง อีกแค่ 30 ปี ประชากรโลกจะทะลุพรวดเป็น 1 หมื่นล้านคน และหากยังนั่งกินบุญเก่า ผลาญทรัพยากรธรรมชาติไปเรื่อย ๆ ปัญหาการแย่งชิงแหล่งอาหารและแหล่งน้ำคงรุนแรงจนเข้าขั้นวิกฤต แค่คิดภาพตามก็เครียดแล้วค่ะ

ที่มาภาพ