ครม. ไฟเขียว 1.1 หมื่นล้าน พัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเลไปเกาะสมุย

เกาะสมุย
ครม. ไฟเขียว 1.1 หมื่นล้าน พัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเลไปเกาะสมุย

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อนุมัติ โครงการพัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเลไปเกาะสมุย 11,230 ล้านบาท เสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการก่อสร้างโครงการพัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเลไปยังบริเวณ
อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี วงเงินรวมทั้งสิ้น 11,230 ล้านบาท

เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งพลังงานไฟฟ้าไป อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และพื้นที่เกาะข้างเคียง (เกาะเต่า และเกาะพะงัน) สนองตอบต่อความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น และเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1

ทั้งนี้ กฟผ.จะใช้เงินรายได้ (Internal Cash Flow) เป็นลำดับแรกไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 และแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ร้อยละ 75 ซึ่งหากมีความต้องการใช้เงินกู้จะพิจารณากู้เงินในประเทศเป็นลำดับแรก

โครงการมีสาระสำคัญดังนี้ ขอบเขตงานก่อสร้าง เช่น ก่อสร้างสายเคเบิ้ลใต้ทะเล 230 เควี (kV) ขนอม-เกาะสมุย จำนวน 2 วงจร รวมระยะทางประมาณ 52.5 กม. และติดตั้ง Fiber Optic-ขยายสถานีไฟฟ้าแรงสูง 230 เควี (kV) ขนอม พร้อมปรับปรุงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง-ก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง 230/115 เควี (kV) เกาะสมุย (สถานีไฟฟ้าแรงสูงแห่งใหม่) พร้อมติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 230/115 เควี (kV) ขนาด 300 MVA จำนวน 2 ชุด จัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง 230/115 เควี (kV) เกาะสมุย (สถานีไฟฟ้าแรงสูงแห่งใหม่)

โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ : 7-8 ปี โดยมีกำหนดแล้วเสร็จประมาณ มิถุนายน 2572 สำหรับวงเงินลงทุน : รวมทั้งสิ้น 11,230 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศ 4,969.5 ล้านบาท 2.ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้างอีก 6,260.5 ล้านบาท

ส่วนแหล่งเงินทุน มาจากเงินรายได้ของ กฟผ. ร้อยละ 25 และแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ร้อยละ 75 โดยประโยชน์ที่จะได้รับ โครงการ จะเพิ่มขีดความสามารถของระบบไฟฟ้าในการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และพื้นที่เกาะข้างเคียง (เกาะเต่าและเกาะพะงัน) ซึ่งระบบเดิมรองรับได้ถึงปี 2574 เท่านั้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า ลดการเกิดไฟฟ้าดับในพื้นที่ดังกล่าว

ทั้งนี้ เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าบนเกาะสมุยและเกาะข้างเคียง (เกาะพะงัน และเกาะเต่า) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจท่องเที่ยวของเกาะต่าง ๆ ในอนาคต

ซึ่งการดำเนินโครงการต้องจัดทำรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination : IEE) โดยมีการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) (ณ อัตราคิดลดเท่ากับร้อยละ 5.51) อยู่ที่ 10,130.7 ล้านบาท จะทำให้อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเพิ่มขึ้น 0.0025 บาทต่อหน่วย ตลอดอายุโครงการ

โดยกระทรวงการคลัง ไม่มีความจำเป็นต้องค้ำประกันเงินกู้ เนื่องจาก กฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจ ที่มีศักยภาพและมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง มีสัดส่วนความสามารถในการทำรายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) อยู่ในเกณฑ์ที่ดี