“มุ่งพัฒนา” ขนสินค้านวัตกรรม ย้ำเจ้า “แม่-เด็ก” ลุยอีคอมเมิร์ซ

สุวรรณา โชคดีอนันต์

“มุ่งพัฒนา” ย้ำเจ้าตลาดสินค้าแม่และเด็ก เดินหน้าออกสินค้าใหม่เน้นนวัตกรรม พร้อมเพิ่มดีกรีอาหารเครื่องดื่ม สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันเสริมแกร่งพอร์ต ประกาศบุกอีคอมเมิร์ซหวังสร้างการเติบโต หลังตัวเลขพุ่งแรง

นางสาวสุวรรณา โชคดีอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแม่และเด็ก อาทิ พีเจ้น, ไออุ่น และซ้อฟเท็กซ์ เป็นต้น เปิดเผยในงาน Opportunity Day ว่า ผลประกอบการช่วงไตรมาส 1 (ม.ค.-มี.ค.) ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 185.4 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 9.1 ล้านบาท ลดลง 5.7 ล้านบาท หรือลดลง 38.5% เป็นผลมาจากรายได้จากสินค้าผลิตภัณฑ์แม่และเด็กลดลง และการยกเลิกขายสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภคที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายในบางช่องทาง ขณะที่ยอดขายในช่องทางปกติลดลง แต่ยอดขายที่เติบโตเพิ่มสูงขึ้นมาจากการขายผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

โดยสินค้าที่สร้างการเติบโตในแง่ของยอดขายให้บริษัท จะเป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มสินค้าประจำวันโดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มถือว่าเติบโตเกือบ 3 เท่าในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และคาดว่าจะเติบโตถึง 35% ในปีนี้ เทียบกับปีที่แล้วหรือเติบโตประมาณ 299% เทียบกับปี 2562 ขณะเดียวกันกลุ่มสินค้าประจำวันก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยคาดว่าจะเติบโตประมาณ 38% ในปี 2566 เทียบกับปีที่แล้ว หรือเติบโตประมาณ 82% เทียบกับปี 2562

สำหรับการดำเนินงานจากนี้ไป บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ให้มากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อันดับ 1 ในสินค้าเเม่เเละเด็กอย่างต่อเนื่อง และยังคงเดินหน้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากหมวดหมู่อื่น ๆ แบรนด์ใหม่ และเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ ให้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการออกสินค้าใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และการปรับพอร์ตของธุรกิจ พร้อมที่จะผลักดันตัวสินค้าในทุกกลุ่มให้มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าประจำวัน, กลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม ด้วยการออกสินค้าเครื่องดื่มผักผลไม้ชนิดผงที่ทานได้ทุกช่วงวัย สำหรับกลุ่มสินค้าผู้สูงอายุ ได้ออกสินค้าสบู่ และสินค้าแชมพู โดยไม่ต้องล้างน้ำ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 2/2566 นี้ บริษัทคาดว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์แม่และเด็กจะมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มีนวัตกรรมโดดเด่น อย่างเช่น สินค้าจุกยางขวดนมที่ให้ผิวสัมผัสเสมือนนมแม่ เชื่อว่าจะเป็นสินค้าที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดี อีกทั้งยังได้ทำการตลาดและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดให้สินค้าดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น คาดจะมีอัตรายอดขายที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

Advertisment

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัทยังคงให้ความสำคัญ ทั้งค้าปลีกรูปแบบสมัยใหม่ และค้าปลีกแบบดั้งเดิม โดยคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 80% ในปี 2566 ขณะเดียวกันช่องทางอีคอมเมิร์ซก็ยังเป็นช่องทางที่มีโอกาสในการเติบโตที่ค่อนข้างดี บริษัทจึงมีแผนที่จะขยายตลาดอีคอมเมิร์ซ หรือการซื้อขายสินค้าและบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่ม เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น สนับสนุนยอดขายให้เติบโต โดยบริษัทได้วางเป้าสัดส่วนยอดขายจากช่องทางออนไลน์ไว้ที่ 10% ของยอดขายทั้งหมด

“ปัจจุบันสามารถทำได้เกินเป้าหมายตามที่วางไว้ และยังเน้นรักษาความสมดุลทั้งยอดขายพร้อมกับรักษาอัตราผลกำไรที่ดีในอนาคต”

นางสาวสุวรรณากล่าวว่า นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าต่างประเทศ หรือกลุ่ม CLMV ก็เริ่มทยอยกลับมามียอดคำสั่งซื้อมากขึ้น ใกล้เคียงภาวะปกติ หลังจากปีที่ผ่านมามียอดคำสั่งซื้อที่ลดลง จึงทำให้เชื่อว่าผลประกอบการทั้งปี 2566 นี้ จะเติบโตมากกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน รวมถึงแผนการควบคุมต้นทุนของบริษัท เนื่องจากราคาเม็ดพลาสติกพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยคาดว่าราคาจะทรงตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งบริษัทจะควบคุมต้นทุนส่วนนี้ให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทก็จะยังคงเดินหน้ามองหาโอกาสในการควบรวมกิจการ (M&A) ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาธุรกิจใหม่เพิ่มเติมเข้ามาช่วยเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และพอร์ตให้กับบริษัทได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีแผนจะส่งเครื่องดื่มสมุนไพรพร้อมดื่ม ตรา BAO ไปขยายตลาดต่างประเทศอย่างเขมร กัมพูชา เวียดนามอีกด้วย

Advertisment

“คาดว่าสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มอย่าง BAO จะเป็นตัวช่วยสร้างฐานสินค้ากลุ่มนี้ และจะเป็นตัวช่วยผลักดันรายได้ในตลาดต่างประเทศได้ดีอีกด้วย” นางสาวสุวรรณากล่าว