สปีดชิงพื้นที่ค้าปลีก “อเมซอน” เล็งซื้อทอยส์ อาร์ อัส

คอลัมน์ MARKET MOVE

หลังจากที่ชัดเจนว่ายักษ์เชนร้านของเล่น “ทอยส์ อาร์ อัส” (Toys “R” Us) จำเป็นต้องม้วนเสื่อปิดกิจการในสหรัฐอย่างแน่นอน เพราะไม่สามารถหาทางฟื้นฟูกิจการได้แล้วนั้น กลับมีกระแสข่าวออกมาว่า มียักษ์อีคอมเมิร์ซ “อเมซอน” (Amazon) จ้องจะซื้อร้านสาขาที่มีอยู่มากกว่า 700 แห่งทั่วสหรัฐ ซึ่งไม่ใช่การควบรวมกิจการทั่วไป แต่หวังใช้จำนวนสาขาดังกล่าวเร่งสปีดขยายเครือข่ายร้านออฟไลน์ที่อเมซอนกำลังเดินหน้าทำตลาด

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า อเมซอนกำลังประเมินความเป็นไปได้ในการซื้อสาขาบางแห่งของทอยส์ อาร์ อัส หวังใช้ทำเลเหล่านี้เสริมแกร่งให้กับธุรกิจของตน ซึ่งปัจจุบันมีการเดินหน้าขยายช่องทางออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นซื้อกิจการร้านโฮลฟู้ดเชนซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ด้วยมูลค่า 1.37 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.6 แสนล้านบาทไปเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงการเปิดร้านสะดวกซื้อไร้แคชเชียร์ “อเมซอน โก” และร้านหนังสือ “อเมซอน บุ๊กส์”

แม้ทั้งยักษ์อีคอมเมิร์ซและอดีตยักษ์ใหญ่ร้านของเล่นจะปฏิเสธไม่ให้ความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ด้านนักวิเคราะห์มองว่า จังหวะนี้เป็นโอกาสที่อเมซอนจะขยายเครือข่ายในโลกออฟไลน์ได้อย่างรวดเร็วและราคาถูก ทั้งเพื่อใช้เป็นโชว์รูมแสดงสินค้าไฮไลต์อย่างลำโพงอัจฉริยะ “เอคโค่” (Echo) ที่มาพร้อมกับ “อเล็กซ่า” (Alexa) ระบบผู้ช่วยเสมือน รวมถึงเป็นโกดัง-ศูนย์กระจายสินค้าสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและซูเปอร์มาร์เก็ตโฮลฟู้ด โดยช่วยลดระยะเวลาส่งสินค้าให้สั้นลงอีก หลังจากก่อนหน้านี้ได้ประกาศเปิดบริการส่งด่วนใน 2 ชั่วโมงสำหรับลูกค้าโฮลฟู้ดใน 4 เมือง อาทิ ดัลลัส และซินซินเนติไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แผนนี้อาจไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากเมื่อปี 2558 อเมซอนเคยพยายามซื้อสาขาบางแห่งของ “เรดิโอแชก” (RadioShack) เชนร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในสภาพใกล้ล้มละลายเช่นเดียวกันแต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ขณะเดียวกัน นอกจากยักษ์อีคอมเมิร์ซที่จ้องซื้อร้านสาขาแล้ว ยังมีความพยายามรักษาแบรนด์ “ทอยส์ อาร์ อัส” เอาไว้เกิดขึ้นอีกด้วย นำโดย “ไอแซค ลาเลี่ยน” ซีอีโอของบริษัทผลิตของเล่น เอ็มจีเอ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ (MGA Entertainment) ได้เปิดแคมเปญระดมทุนสาธารณะเป้าหมาย 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อซื้อร้านทอยส์ อาร์ อัส จำนวน 400 สาขาในสหรัฐ และเปิดกิจการร้านของเล่นนี้ต่อไป

โดยซีอีโอรายนี้ได้ร่วมลงขันด้วยเงินส่วนตัวถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมเปิดเผยว่า มีนักลงทุนกระเป๋าหนักที่ไม่เปิดเผยชื่ออีกหลายรายพร้อมร่วมลงทุนในโครงการนี้

“ช่องทางออฟไลน์ยังมีความสำคัญต่อธุรกิจของเล่นในสหรัฐ โดยช่วยให้ผู้ผลิตและนักออกแบบรับรู้ปฏิกิริยาของผู้ปกครองและเด็ก ๆ ได้โดยตรง และเหมาะสำหรับขายสินค้าชิ้นใหญ่ที่ค่าขนส่งสูงหากขายออนไลน์ อีกทั้งยังลดความเสียหายแบบโดมิโนที่กำลังจะเกิดขึ้นกับซัพพลายเออร์น้อย-ใหญ่ ซึ่งรวมถึงเอ็มจีเอฯเอง และสายส่งสินค้ารวมกว่า 1.3 แสนตำแหน่งอีกด้วย”

ขณะเดียวกัน “ไอแซค ลาเลี่ยน” และนักลงทุนรายอื่น ๆ ยังร่วมมือกันประมูลซื้อกิจการทอยส์ อาร์ อัส ในแคนาดา หลังบริษัทแม่พยายามหาผู้ซื้อมารับช่วงต่อร้านค้า 200 สาขานี้เพื่อเลี่ยงไม่ให้ต้องปิดกิจการตามธุรกิจในสหรัฐเช่นเดียวกับออสเตรเลีย ฝรั่งเศส โปแลนด์ โปรตุเกส สเปน และอังกฤษ ส่วนธุรกิจในยุโรปกลางและเอเชียนั้นยังคงเดินหน้าตามปกติกระแสนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานสะท้อนถึงการขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งของอีคอมเมิร์ซและความเร่งด่วนที่ค้าปลีกออฟไลน์ในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกต้องปรับตัวรับมือกับอีคอมเมิร์ซ