“วอริกซ์” บุก “อาเซียน-ญี่ปุ่น” ตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นชั้นคีย์เพลเยอร์เอเชีย

“วอริกซ์” เปิดฉากรุกต่างประเทศ ตั้งบริษัทโฮลดิ้งในสิงคโปร์ เพิ่มความคล่องตัวขยายตลาด ประเดิมปักธงอินโดนีเซีย-ญี่ปุ่น พร้อมใช้อีคอมเมิร์ซเร่งสปีดยอดขายช่วยดีลเลอร์ หวังชิงตำแหน่งคีย์เพลเยอร์ในเอเชีย ด้านในประเทศเดินหน้าขยายไลน์สินค้าทั้งกอล์ฟ เทนนิส เดิน-วิ่ง และแฟชั่น เดินหมากเกมรุก เจาะกลุ่มบันเทิง “วงดนตรี-ศิลปิน” หวังขยายฐาน ล่าสุดจับมือแกรมมี่รับสิทธิ์ผลิตเสื้อคอนเสิร์ตเสริมทัพ มั่นใจปีนี้ยอดขายยังโต 7-8% พร้อมวางเป้าปี 2563 แตะ 1,000 ล้าน

การเป็นคีย์เพลเยอร์ระดับเอเชียเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของ “วอริกซ์” แบรนด์ชุดกีฬาน้องใหม่ที่สร้างกระแสในวงการเมื่อปี 2560 ด้วยการคว้าสิทธิ์ผลิตชุดแข่งและชุดลำลองให้กับทีมฟุตบอลทีมชาติไทยนาน 4 ปี ไปด้วยมูลค่า 400 ล้านบาท หลังเปิดกิจการได้เพียง 3 ปี และมียอดขายประมาณ 180 ล้านบาทเท่านั้น โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา “วอริกซ์” โฟกัสกับการทำตลาดผ่านออนไลน์และอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการประมูลสิทธิ์สปอนเซอร์ทีมชาติ-สโมสรต่าง ๆ อาทิ ทีมชาติเมียนมา สโมสรในลาว สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยนอกจากเพื่อเพิ่มยอดขายแล้ว ยังเป็นการสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้าเตรียมความพร้อมสำหรับรุกตลาดต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งโค้งท้ายปี 2562 นี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ “วอริกซ์” จะรุกตลาดต่างประเทศอย่างเต็มตัว

ตั้งโฮลดิ้งบุกต่างประเทศ

นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงทิศทางของบริษัทในปี 2563 ว่า ปีหน้าจะเริ่มรุกตลาดต่างประเทศเต็มตัวทั้งอาเซียนและญี่ปุ่น โดยภายในสิ้นปี 2562 นี้จะเปิดบริษัทโฮลดิ้งในประเทศสิงคโปร์ เพื่อเป็นตัวแทนสำหรับลงทุนตั้งบริษัทรวมกับ

พาร์ตเนอร์ในประเทศต่าง ๆ รวมถึงรับรู้รายได้จากต่างประเทศช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ จากที่ผ่านมาจะใช้บริษัทในไทย จากนั้นช่วงต้นปี 2563 จะตั้งบริษัทในอินโดนีเซีย ตามด้วยอีกบริษัทที่ญี่ปุ่นช่วงปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564 ทั้งนี้ อาศัยโอกาสที่ในอาเซียนยังไม่มีแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาที่แข็งแกร่งในระดับภูมิภาคเข้าทำตลาดเพื่อชิงตำแหน่งที่ว่างอยู่นี้

ทั้งนี้ อินโดนีเซียนับเป็นตลาดสำคัญ เนื่องจากฐานผู้บริโภคจำนวนกว่า 280 ล้านคน และแม้จะมีความท้าทายด้านการขนส่งสินค้า แต่บริษัทและพันธมิตรท้องถิ่นได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว รวมถึงเริ่มทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้และกำลังเดินสายเจรจากับทีมฟุตบอลท้องถิ่นเพื่อเข้าเป็นผู้ผลิตเสื้อทีม เช่นเดียวกับสิงคโปร์ ซึ่งที่ผ่านมาผู้แทนจำหน่ายในสิงคโปร์และมาเลเซียได้ช่วยสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง เช่น เข้าเป็นผู้สนับสนุนชุดให้กับกรรมการตัดสินกีฬา ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคท้องถิ่น พร้อมสำหรับการเข้าทำตลาดด้วยสินค้าแบบครบไลน์อัพทั้งเสื้อผ้า รองเท้า และแอ็กเซสซอรี่ในปีหน้า

“ปีนี้ภาพรวมของตลาดเสื้อผ้ากีฬา รวมถึงเสื้อเชียร์ทีมฟุตบอลต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ไม่ดีนัก และส่งผลต่อกำลังซื้อของแฟนสโมสรต่าง ๆ โดยตรง สะท้อนจากภาพการแข่งขันของค่ายต่าง ๆ ที่หันมาให้ความสำคัญกับการลดราคาดุเดือดจาก 200-300 บาท เหลือเพียงไม่ถึง 100 บาท และการล้มหายไปของผู้เล่นจำนวนหนึ่ง”

เดินหน้าขยายฐานลูกค้า

กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับตลาดในประเทศ นอกจากเสื้อผ้ากีฬา สินค้ากีฬา ที่จะรุกและขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น รวมถึงการเดินหน้าประมูลสิทธิ์ผลิตเสื้อทีมในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปีนี้ นอกจากเปิดตัวเสื้อฟุตบอลทีมชาติไทยรุ่นใหม่แล้ว บริษัทขยายไลน์อัพสินค้าต่อเนื่องทั้งกอล์ฟและเทนนิสที่ปัจจุบันเป็นช่องว่างของตลาด ด้วยการจับมือนักกีฬาดัง อาทิ “ภราดร ศรีชาพันธุ์” มาร่วมพัฒนาสินค้า พร้อมสำหรับการเปิดตัวต้นปีหน้า เช่นเดียวกับสินค้ากลุ่มวิ่ง-เดิน และสินค้าสำหรับผู้หญิงที่จะมีความหลากหลายมากขึ้นรับกับเทรนด์ของตลาด พร้อมรักษาจุดขายคุณภาพเทียบเท่าอินเตอร์แบรนด์ แต่ราคาจับต้องได้ โดยอาจถูกกว่าถึง 50% เนื่องจากต้นทุนด้านการตลาดต่ำกว่า

นอกจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับขยายฐานไปยังด้านบันเทิง อาทิ วงดนตรี หรือศิลปิน ที่มีกลุ่มแฟนคลับคอยติดตามความเหนียวแน่นและทุ่มเทพร้อมลงทุนกับสิ่งที่ชอบ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ถือเป็นตลาดจึงมีศักยภาพสูง

เช่นเดียวกับกลุ่มเสื้อสถาบันการศึกษายังมีดีมานด์จากทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันต่อเนื่องตามการแข่งขันประจำปีของแต่ละสถาบัน โดยล่าสุดได้จับมือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ผลิตเสื้อผ้าและของที่ระลึกสำหรับคอนเสิร์ตเป็นระยะเวลา 1 ปี เช่น บิ๊กเมาท์เทน และอื่น ๆ หากประสบความสำเร็จอาจจะขยายพันธมิตรในเซ็กเมนต์นี้เพิ่ม อาศัยจุดแข็งด้านประสบการณ์และจำนวนการผลิตช่วยให้ได้เปรียบด้านต้นทุน

“ภายใน 3 ปีจะลอนช์สินค้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาร่วมกับโรงพยาบาลกรุงเทพ รวมถึงมหาวิทยาลัยในไทยและญี่ปุ่น เพื่อรับกระแสสังคมสูงวัย”

มุ่งเพิ่มโอกาสการขาย

กรรมการผู้จัดการบริษัท วอริกซ์ กล่าวว่า นอกจากการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด ยุทธศาสตร์สำคัญที่บริษัทจะใช้ คือ ระบบออมนิแชนเนล และอีคอมเมิร์ซ ที่พัฒนาขึ้นร่วมกับธนาคารยูโอบี และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีจุดเด่นในการตอบโจทย์การบริหารสต๊อกสินค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในความท้าทายหลักของธุรกิจเสื้อผ้า เนื่องจากปกติร้านค้ามักสำรองสินค้าแบรนด์ระดับรอง หรือแบรนด์หน้าใหม่ไว้น้อยเพื่อลดความเสี่ยง ทำให้มีไซซ์-สี-รุ่นไม่ครบ และทำให้เสียโอกาสขาย และเสียโอกาสในการสร้างฐานลูกค้าใหม่ ๆ

โดยระบบดังกล่าวนี้จะช่วยให้ร้านค้าไม่ต้องสต๊อกสินค้าไว้ครั้งละมาก ๆ และไม่ต้องทำเป้ายอดขาย โดยร้านค้าจะมีเพียงชุดกีฬา หรือเสื้อผ้าที่โชว์ครบรุ่น เพื่อให้ลูกค้าทดลองใส่และสั่งซื้อด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ดที่ตัวสินค้า โดยสินค้าจะถูกจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งบริษัทจับมือกับดีเอชแอล โดยลูกค้าสามารถจะเลือกชำระเงินได้ทั้งจ่ายสดและเก็บปลายทาง ซึ่งบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนอุปกรณ์ เชื่อมต่อระบบ อบรมพนักงาน เป็นต้น และจะเริ่มทดลองใช้ระบบนี้กับดีลเลอร์ประมาณ 100 ร้านค้า ในช่วงตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป รวมทั้งมีแผนจะนำระบบนี้ไปใช้ในต่างประเทศด้วยในอนาคต

“ที่ผ่านมาการหาพันธมิตรที่ดีเป็นความท้าทายหลักของการขยายตลาดต่างประเทศ แต่ระบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ลง และเร่งสปีดการขยายช่องทางขายและฐานลูกค้าให้เร็วขึ้น รวมถึงได้ฐานข้อมูลบิ๊กดาต้าสำหรับสร้างอินไซต์ของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่อีกด้วย”

ลั่นปี”63 ยอดทะลุพันล้าน

นายวิศัลย์ได้คาดการณ์ถึงยอดขายของวอริกซ์ในปีนี้ว่า มั่นใจว่าจะเติบโต 7-8% จากปีก่อน หรือมียอดขายรวมไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท จากทั้งสินค้าเดิมซึ่งได้รับความนิยมต่อเนื่อง และสินค้าใหม่ที่ตอบรับกระแสในตลาดชุดกีฬา-แฟชั่น อาทิ “ไวท์เลเบล” สินค้าสไตล์สตรีตแฟชั่นระดับพรีเมี่ยม ซึ่งกำลังจะเปิดช็อปใหม่ที่สเตเดียมวัน รวมถึงไลน์อัพกลุ่มผู้หญิงและกีฬาวิ่ง หลังเพิ่มความหลากหลายขึ้นตามดีมานด์ของตลาด รวมถึงการนำสินค้าจากแบรนด์อื่น ๆ ที่บริษัทไม่มีเข้ามาวางขายในร้าน เช่น รองเท้าวิ่งระดับราคา 2,000 บาทขึ้นไป ช่วยให้ยอดขายเพิ่มต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ระบบอีคอมเมิร์ซ ที่บริษัทให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ สามารถเติบโตได้ถึง 1 เท่าตัวจากปีก่อน และสำหรับปี 2563 จากแนวทางการรุกตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายตลาดสู่ต่างประเทศรวมถึงสินค้าใหม่ ๆ จะช่วยให้ยอดขายเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าน่าจะทำตัวเลขได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท