เมเจอร์ฯพร้อมรับคลายล็อก ถล่มหนังฟอร์มใหญ่ ‘ไทย-เทศ’ ต้อนคนดู

“เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ลุ้น ศบค.คลายล็อกโรงหนัง ลั่นพร้อมเปิด เข้มมาตรการสร้างความมั่นใจ พนักงานฉีดวัคซีนโควิด 100% ตรวจ ATK ทุกอาทิตย์ พร้อมปรับตัวเข้าสู่ยุค cashless cinema จองตั๋วผ่านตู้อัตโนมัติ-ชำระเงินผ่านบัตร ลดการสัมผัส นำร่อง 59 สาขา กรุงเทพฯ ปริมณฑล หัวเมืองใหญ่ ประกาศขนหนังฟอร์มใหญ่ไทย-เทศลงจอสัปดาห์ละ 2-3 เรื่อง หวังดึงใจลูกค้า เพิ่มโฟกัสธุรกิจป๊อปคอร์นสร้างรายได้เพิ่ม

เกือบ 150 วัน ที่ธุรกิจโรงภาพยนตร์เข้าสู่ภาวะจอมืด จากการจำกัดการทำกิจกรรมในหมู่ประชาชน เพื่อสกัดไวรัสโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรง อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในวันนี้ที่เริ่มคลี่คลาย สะท้อนจากยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เริ่มผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวด อนุญาตให้กิจการหลาย ๆ อย่างกลับมาเปิดให้บริการได้ โดยเฉพาะศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ฯลฯ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขและยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 บนหลักการ COVID-Free Setting

ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้สูง ที่ ศบค.จะค่อย ๆ ทยอยคลายล็อกให้กับธุรกิจอื่นเพิ่มอีกเป็นระยะ ๆ ในเร็ววันนี้ โดยเฉพาะโรงหนังที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในแม็กเนตสำคัญของศูนย์การค้า

ล่าสุด เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เจ้าตลาดโรงหนังก็ได้มีความเคลื่อนไหวในการเตรียมความพร้อมสำหรับการคลายล็อกที่ใกล้จะมาถึง หลังจากที่ผ่านมาต้องปิดให้บริการใน 27 จังหวัด จำนวน 85 สาขา จากที่มีสาขาทั้งสิ้นกว่า 172 สาขาทั่วประเทศ โดยเฉพาะสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ทำรายได้เป็นสัดส่วน 80% ของรายได้ทั้งหมด

นายนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีแผนผ่อนปรนมาตรการอนุญาตให้บางกิจการกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในส่วนของโรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ฯก็ได้มีการเตรียมพร้อมแผนงาน 100% เพื่อรอวันกลับมาดำเนินการ หลัก ๆ จะคงมาตรการสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคอย่างสูงสุด ทั้งสถานที่และบุคลากรเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมความกังวลของกลุ่มลูกค้าในช่วงที่โควิด-19 ยังมีการแพร่ระบาดยังคงอยู่

โดยขณะนี้ได้มีการฉีดวัคซีนพนักงานครบ 100% พร้อมยกระดับด้วยการตรวจโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK พนักงานทุกคนในทุกสัปดาห์ ขณะที่บุคลากรส่วนอื่น ๆ อาทิ หน่วยรักษาความปลอดภัย พนักงานทำความสะอาด หรือกระทั่งผู้ติดต่องานจากภายนอกอย่างซัพพลายเออร์ก็ใช้มาตรฐานเดียวกัน คือต้องเป็นผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม และมีการตรวจ ATK ก่อนเข้ามาติดต่องานเสมอ รวมไปถึงการรักษาความสะอาดในส่วนของโรงภาพยนตร์ด้วยการอบ UV และทำระบบระบายอากาศให้มีประสิทธิภาพ พร้อมเว้นระยะห่างทุก 2 ที่นั่ง สำหรับการรับชมภาพยนตร์

ควบคู่กับการปรับการบริการให้เป็นในรูปแบบสังคมไร้เงินสด (cashless) เพื่อลดการสัมผัสให้ได้มากที่สุด โดยจะเริ่มนำร่องไม่รับเงินสดใน 59 สาขา เขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะสาขาในกรุงเทพฯจะไม่รับเงินสด 100% และใช้วิธีจองตั๋วผ่านตู้อัตโนมัติ พร้อมชำระเงินผ่านบัตร หรือธนาคารต่าง ๆ พร้อมนำระบบสมาร์ททิกเก็ต (smart ticket) ตรวจตั๋วก่อนเข้าชมผ่านแอปพลิเคชั่นโดยไม่ใช้พนักงาน เพื่อลดการสัมผัสระหว่างบุคคลอย่างแท้จริง

นายนรุตม์กล่าวต่อไปว่า นอกจากมาตรการการสร้างความมั่นใจดังกล่าวเพื่อดึงทราฟฟิกกลับมาสู่โรงภาพยนตร์แล้ว อีกแกนหลักที่สำคัญคือ เรื่องของภาพยนตร์ที่นำมาฉาย ก็จะต้องเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจและดึงดูดผู้ชมได้ เมื่อคอนเทนต์ดีย่อมดึงผู้บริโภคกลับมาสู่การทำกิจกรรมที่โรงหนังได้โดยอัตโนมัติ โดยขณะนี้มีภาพยนตร์รอลงจอในช่วง 3 เดือนหลังโค้งท้ายปีเป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนแต่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ค่ายดังทั้งฮอลลีวูด, มาร์เวล สตูดิโอ อาทิ Fast & Furios 9, Black Widow, Shang Chi, Spider-Man : No Way Home ซึ่งจะเข้าฉายเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2-3 เรื่อง

“ที่ผ่านมาการกลับมาเปิดโรงหนังในต่างประเทศก็พบว่า ผู้บริโภคมีอัตราการกลับเข้ามาชมสูงจนเกือบปกติ หรือในกรณีประเทศไทยก่อนปิดกิจการในครั้งก่อนได้มีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉาย คือ ก็อตซิลล่าปะทะคิงคอง ในช่วงเดือน มี.ค. แม้จะมีโควิดอยู่ แต่สามารถทำรายได้เรื่องเดียวได้มากถึง 300 ล้านบาท จึงคาดการณ์ได้ว่าหากมีการเปิดให้บริการอีกครั้ง ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แต่ละเรื่องจะทำรายได้สูงถึง 200-300 ล้านบาท”

นายนรุตม์ยังระบุด้วยว่า นอกจากหนังต่างประเทศแล้ว ในส่วนของภาพยนตร์ไทยก็จะทยอยลงโรงหลายเรื่อง โดยที่ผ่านมาเมเจอร์ฯได้เดินหน้าลงทุนสร้างหนังไทยเพื่อป้อนตลาด โดยมีค่ายหนังของตนเองถึง 6 สตูดิโอ อาทิ M Pictures, M39 ปัจจุบันผลิตเพื่อฉายทั้งในปีนี้และปีหน้าราว 15-20 เรื่อง และจะเริ่มฉายตั้งแต่ ต.ค.-ธ.ค. เช่น ส้มป่อย, แดงพระโขนง, มนต์รักวัวชน เป็นต้น

และปีหน้าหากสถานการณ์โควิดคลี่คลายก็มีแผนจะผลิตหนังเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปลายปี 2563-มี.ค. 2564 หนังไทยเริ่มมีแนวโน้มเป็นบวก และเมเจอร์ฯมีมาร์เก็ตแชร์หนังไทยสูงขึ้นถึง 50% มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยหลักมาจากต่างประเทศส่งหนังน้อยลงช่วงโควิด

“ที่ผ่านมาจากการเริ่มเปิดให้บริการในสาขาต่างจังหวัดราว 200 จอ ใน 59 สาขา ตัวเลขผู้บริโภคเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนได้ว่าคนเริ่มกลับมา และจากการสำรวจห้างหลังจากเปิดมาอีกครั้งถือว่าทราฟฟิกสูง กลุ่มผู้บริโภคคึกคัก คาดว่าหากเปิดบริการอีกครั้งน่าจะมีแนวโน้มดี”

นอกจากในส่วนของธุรกิจโรงภาพยนตร์ดังกล่าว เมเจอร์ฯยังมีแผนการสร้างรายได้จากธุรกิจเทรดดิ้ง โดยเฉพาะการขายป๊อปคอร์นที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นในทุก ๆ เดือนตั้งแต่เปิดจำหน่าย โดยขณะนี้มียอดขายมากถึง 40-50 ล้านบาท/เดือน โดยหลัก ๆ มาจากช่องทางไรเดอร์ รองลงมาเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต และคอนวีเนี่ยนสโตร์ ซึ่งมีแผนส่งป๊อปคอร์นเข้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่นเพิ่มในลักษณะป๊อปคอร์นอบในไมโครเวฟในฟีลป๊อปคอร์นสดเหมือนทานที่โรงหนัง ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อเปิดโรงภาพยนตร์ได้ รายได้ในส่วนป๊อปคอร์นจะเพิ่มขึ้นสูงอย่างแน่นอน