ประธานวงศ์ พรประภา สงครามราคา…ไม่ใช่ทางของ BYD

ประธานวงศ์ พรประภา
ประธานวงศ์ พรประภา

หลังจากตัดสินใจเข้ามาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าบ้านเราอย่างจริงจังเมื่อสองปีก่อน กับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลกอย่าง “BYD” ในประเทศไทย ต้องถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

วันนี้ “ประธานวงศ์ พรประภา” ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของเรเว่ กรุ๊ป (Rever Group) ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ BYD ในประเทศไทย บอกเล่าถึงแผนงานแนวทางการขับเคลื่อนของอาณาจักร BYD ในประเทศไทย กับวันที่การแข่งขันดุเดือด โดยเฉพาะ “สงครามราคา”

ปัจจัยลบในตลาดนี้กระทบการดำเนินธุรกิจมากน้อยแค่ไหน

สำหรับปีที่ผ่านมานั้น รถยนต์ BYD มียอดขายทั้งสิ้น 30,432 คัน หรือคิดเป็นยอดจดทะเบียนมากถึง 40% ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ครองความเป็นผู้นำในตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนยอดขายในเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมานั้น มียอดขายมากที่สุด คือ 6,214 คัน

คาดหวังกับปี 2567 อย่างไร

สำหรับปีนี้ กลุ่มเรเว่ฯ และ BYD ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50,000 คัน ซึ่งบริษัทมีแผนจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง หลังจากเริ่มต้นปีด้วย BYD ATTO3 รุ่นปี 2024 และในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมากับรถยนต์ BYD SEAL U DM-i รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่เรานำมาเปิดตัวและรับจองสิทธิล่วงหน้า ก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในช่วงปลายปี และเริ่มส่งมอบรถรุ่นนี้ได้ราว ๆ เดือนธันวาคมนี้

ส่วนรุ่นอื่น ๆ บริษัทมีแผนแนะนำออกสู่ตลาดเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะแบรนด์ DENZA ยอมรับว่าเตรียมนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยปีนี้เช่นเดียวกัน เบ็ดเสร็จแล้วเราเตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าให้ครบทุกเซ็กเมนต์ประมาณ 5 รุ่นด้วยกัน

หลายคนมองว่าเครือข่าย BYD เยอะเกินไป

ปัจจุบัน BYD มีโชว์รูมและศูนย์บริการกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ 100 แห่ง ส่วนปีนี้มีแผนที่จะขยายเพิ่มอีกเท่าตัว เพื่อให้สามารถรองรับการบริการลูกค้าทั่วประเทศไทยได้อย่างครอบคลุม ซึ่งเราตั้งใจจะเพิ่มเป็น 200 แห่ง และมีการขยายเพิ่มพื้นที่คลังเก็บอะไหล่อีกด้วย

ประเมินตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเราตอนนี้

จากการประเมินภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีนี้นั้นคาดว่า ตัวเลขที่ระดับ 100,000 คัน นั้นมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง แต่ในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมาอาจจะเห็นว่าตลาดรถ EV อยู่ในภาวะชะลอตัวนั้น เหตุผลสำคัญมาจากการสิ้นสุดมาตรการส่งเสริมการใช้รถ EV หรือ EV3.0 ทำให้ตลาดชะลอตัว และเป็นช่วงรอยต่อของ EV 3.5 ซึ่งจากนี้ไป เราน่าจะได้เห็นความต้องการของตลาดที่แท้จริง และตลาดรถ EV น่าจะกลับมาสร้างยอดขายกันต่อเนื่อง แต่จะไปถึงระดับ 100,000 คันหรือไม่ก็ยังไม่สามารถตอบได้ คงต้องรอดู

สงครามราคาทำตลาดรถ EV สะดุดมากน้อยแค่ไหน

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ผ่านมามีการปรับลดราคาเยอะ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “สงครามราคา” นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เฉพาะแต่รถยนต์ไฟฟ้า แต่เราเริ่มเห็นได้ในตลาดเกือบทั้งหมด ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะไม่ได้เห็นไดนามิก การแข่งขันด้านราคาแบบนี้ ส่วนตัวมองว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป น่าจะเป็นการทำลายตลาดมากกว่า

สำหรับ BYD เรายืนยันชัดเจนว่า ATTO3 และ Dolphin รุ่นโมเดล 2023 นั้นที่ได้ประกาศปรับราคาขายลงมา เป็นการปรับตามกลไกของตลาด เพราะเรามีรถอยู่ในสต๊อกอย่างชัดเจน จำนวนประมาณ 2,000 คัน บวกกับ BYD ใช้นโยบายจำหน่ายราคาเดียว หรือ One Price Policy ชัดเจนและโปร่งใส โดยประกาศราคาจำหน่ายและแคมเปญส่งเสริมการขายเป็นราคาและแคมเปญเดียวจากบริษัทโดยตรง และเราได้มีการหารือกับทาง BYD อย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของตลาด

มีคนมองว่าอนาคตจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์

ในประเด็นนี้หลายคนมองว่า การปรับราคาครั้งนี้จะส่งผลเสียต่อแบรนด์ และถือเป็นการทำให้เกิดสงครามราคานั้น ขอย้ำอีกทีว่าเป็นไปตามกลไกของตลาด ส่วนผลกระทบสงครามราคาสำหรับแบรนด์ใหญ่ ๆ อาจจะไม่กระทบมากนัก แต่ค่ายรถยนต์แบรนด์เล็ก ๆ อาจจะต้องจับตาว่าอาจจะอยู่รอดยาก ส่วน BYD เราชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า เราต้องการโละสต๊อกของปี 2023

ดังนั้นเราจำเป็นต้องปรับราคา ที่สำคัญ เราทำ “กลางแจ้ง” ไม่โฉ่งฉ่างเหมือนค่ายอื่น ๆ และลูกค้าจะได้ดีลเดียวกันทั่วประเทศ เราไม่ได้เป็นคนเริ่มทำสงครามราคา เพียงแต่มีค่ายรถยนต์อื่น ๆ เริ่มทำ เราอยู่ในตลาดก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ไปได้ ที่น่าเป็นห่วงคือค่ายรถยนต์รายเล็กว่าจะสามารถยืนระยะไปได้นานแค่ไหน อาจจะได้เห็นภาพของการบีบราคาจนทำให้ผู้เล่นรายย่อยอาจจะอยู่ยากในอนาคต ตอนนี้ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกลไกตลาด

แสดงว่ารถยนต์ไฟฟ้ากำไรค่อนข้างมาก

ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด การลดราคาของเรเว่ฯนั้น บริษัทต้องแบกรับต้นทุนและเข้าเนื้อเช่นเดียวกัน เพียงแต่สถานการณ์ต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) บวกกับราคาขายของแร่ลิเทียมที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้สามารถมีช่องว่างทางด้านราคาในการแข่งขันได้อีกเล็กน้อย

ส่วนการแข่งขันกันวันที่ผู้ประกอบการลดราคาอย่างต่อเนื่องนั้นต้องไม่ลืมว่า ต้นทุนการผลิตของโรงงานไม่ได้นิ่ง อย่างตอนเปิดตัว ATTO3 ออกมา ตอนนั้นถือว่าเป็นราคาที่ดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ต้นทุนการผลิตปรับลง เราก็ปรับให้เหมาะสม ทุกคนมีราคาต้นทุนเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่อย่างจะบอกคือ ผมต้องขอความเห็นใจว่า การทำธุรกิจของเรเว่ฯไม่ได้มีกำไรมากขนาดนั้น ซึ่งการปรับลดราคาขายครั้งนี้น่าจะเป็นรายเดียวที่ประกาศอย่างชัดเจน

และเราทำมีผลย้อนหลังให้กับลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้าด้วย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ได้รับ Cash Back ด้วย ส่วนการแข่งขันด้านราคาอยากให้ทุกค่ายเพลา ๆ หน่อย และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกที่แท้จริงของตลาดดีกว่า

แผนผลิตในประเทศเพื่อชดเชยยังเหมือนเดิมหรือต้องปรับใหม่

ทุกอย่างยังเดินหน้าไปตามแผนงานที่ BYD ได้ประกาศไว้ ซึ่งหากไม่ผิดพลาด เราน่าจะเริ่มผลิตรถ EV ได้ราวกลางปี กับ BYD DOLPHIN ส่วนรถยนต์ BYD SEAL U DM-i รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ซึ่งเปิดจองสิทธิในมอเตอร์โชว์นั้น ขณะนี้เรากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อขอให้ BYD นำรถรุ่นนี้เข้ามาผลิตในประเทศไทย เพราะปัจจุบันภาษีนำเข้ารถปลั๊ก-อิน ไฮบริด ค่อนข้างสูง ซึ่งหากจะเปิดตลาดเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคชาวไทยต้องราคาให้แข่งขันได้ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ๆ

ปีนี้จะมีการลงทุนใหม่มากน้อยแค่ไหน

เหมือนที่เราเคยประกาศไว้ว่า กลุ่มบริษัทเรเว่ฯจะขอเป็นผู้นำประเทศไทยสู่ NEV Nation ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ “NEW FUTURE, YOUR WAY” ตอบโจทย์ทุกชีวิต สู่ระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการลงทุนเพื่ออนาคต

ล่าสุดได้จับมือกับ BYD Commercial Vehicle เพื่อเตรียมจัดตั้งโรงงานประกอบรถบรรทุกและรถขนส่งโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ ภายใต้แบรนด์ BYD นอกประเทศจีนเป็นแห่งแรกในไทย เพื่อเดินหน้าสร้างโรงงานประกอบรถโดยสารและรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าสำหรับธุรกิจเชิงพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ BYD ของเรเว่ บัสแอนด์ทรัค ในประเทศไทยด้วย