มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ตะลุยสแกนดิเนเวีย (2)

รายงาน

โดย วุฒิณี ทับทอง

เป้าหมายแรกของคณะเราบรรลุแล้ว เมื่อทีมเอเดินทางรวม 2,200 กิโลเมตรเพื่อส่งไม้ต่อให้เรา ทีมบีสานต่อภารกิจให้บรรลุ

และเป้าหมายที่สอง สัมฤทธิผลอย่างงดงาม พวกเราพิชิตแสงเหนือได้สำเร็จ

เช้านี้เป้าหมายสุดท้ายได้เริ่มต้นขึ้นที่ฮอนนิงสโวก

ขบวนรถมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 เวอร์ชั่น เดนมาร์ก ทั้ง 9 คัน พร้อมนำพาพวกเราพิชิต 600 กิโลเมตรแรก

ถึงตรงนี้หลายคนคงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมต้องเป็นรถมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 เวอร์ชั่น เดนมาร์ก

ทำไมไม่ใช้รถเวอร์ชั่นบ้านเรา ก็เพราะมีเหตุเมื่อมนุษย์เราไม่สามารถเอาแน่เอานอนกับ “ธรรมชาติ” ได้

ยิ่งท้าทายเท่าไร ก็ไม่มีใครที่จะเอาชนะไปได้เหนือธรรมชาติ

เพราะเดิมรถที่จะใช้ครั้งนี้เป็นฝูงรถมาสด้าหลายรุ่น ตั้งแต่มาสด้า 2 ซีเอ็กซ์-3 และซีเอ็กซ์-5

ได้เดินทางออกจากท่าเรือแหลมฉบังล่วงหน้าก่อนพวกเราจะออกเดินทางถึงเดือนเต็ม

แต่เนื่องจากภาวะคลื่นลมในช่วงมรสุม ทำให้ฝูงรถมาสด้าไม่สามารถ ยกพลขึ้นบกได้ทันกำหนดการที่ทีมเอเดินทางไปถึง

งานนี้ทีมมาสด้า ไทยแลนด์ไม่ยอมแพ้ ใช้ทั้งปฏิภาณและไหวพริบ

ขอยืมรถจากมาสด้า เดนมาร์ก มาให้พวกเราใช้เป็นพาหนะในการเดินทางครั้งนี้อย่างทันท่วงที

และยังเป็นผลดีที่เป็นการเปิดโอกาสให้บรรดาสื่อมวลชนไทยได้สัมผัสรถมาสด้าเวอร์ชั่น ที่ขายในต่างแดน

ว่าจะมีความแตกต่างจากเวอร์ชั่นที่เรา ๆ ลูกค้าชาวไทยได้ใช้กันหรือไม่โปรดติดตาม…

มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ทั้ง 9 คันออกเดินทาง สำหรับคันที่ “ประชาชาติธุรกิจ” ใช้ร่วมขบวนครั้งนี้

คือ ซีเอ็กซ์-5 หมายเลข 07 พร้อมผู้โดยสารทั้งสิ้น 3 คน กับกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 3 ใบ

ถูกบรรทุกไว้ที่ห้องเก็บสัมภาระตอนหลังได้อย่างพอดิบพอดี

ตั้งสติและเตือนกันให้มั่น เพราะการขับรถครั้งนี้เป็นรถพวงมาลัยซ้าย ขับชิดขวา

ทุกอย่างสวนทางตรงกันข้ามกับบ้านเรา ใช้เวลาทำความคุ้นชินกันเล็กน้อยเท่านั้น

หลังจากออกจากบรรยากาศของเขตเมืองมาแล้ว สองข้างทางโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอันตระการตา

โดยเฉพาะเทือกเขาและสายของธารน้ำที่ทอดตัวไหลลงมาไม่ขาดสาย

ชนิดที่ว่าหนึ่งเทือกนั้นมีให้เห็น 5-7 สายเป็นอย่างน้อย

บางเทือกน่าจะมีมากกว่า สร้างความแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนธารน้ำที่ไหลลงมานั้นเกิดจากการละลายของหิมะ ที่ถูกสะสมไว้ตั้งแต่ฤดูหนาวก่อนหน้าละลายลงมา

ก่อนที่จะมาบรรจบลงสู่สายน้ำด้านล่างที่มีวิ่งคู่ขนานไปกับถนน ต่อเนื่องจนกลายเป็นภาพที่คุ้นชิน

ตลอดเส้นทางที่เราขับรถอยู่ใน “นอร์เวย์”

ประเทศที่มีธรรมชาติสมบูรณ์ ต้นไม้อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนสี มองคล้ายภาพของจิตรกรเอกที่บรรจงแต้มสีลงในผืนผ้าใบ

ที่ให้ทั้งความรู้สึกของ “ความอ้างว้าง, เหงา” และในขณะเดียวกัน ก็เป็นภาระของความหวังและการต่อสู้ ในคราเดียวกันบรรยากาศที่กำลังจะเข้าฤดูหนาว (จัด)

ถนนในนอร์เวย์นี้ ในช่วงนอกเมืองจะเป็นขนาดเลนครึ่ง วิ่งสวนกันพอให้หืดขึ้นคอ

แต่พื้นผิวของถนนนั้นเรียบกริบ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขา ตัดสลับซับซ้อน

จึงไม่แปลกใจนักที่เราจะต้องขับลัดเลาะหน้าผา สันเขา มุดอุโมงค์แล้วอุโมงค์เล่า อย่างไม่เบื่อหน่าย

ช่วงจังหวะที่ตัดเข้าอุโมงค์นั้น หน้าจอแสดงผลของรถ “มาสด้า ซีเอ็กซ์-5” ระบบนำแสดงผลเส้นทางผ่านหน้าจอ

เป็นการจำลองของเส้นทางในอุโมงค์เช่นเดียวกัน

อีกสิ่งคือความอัจฉริยะของหน้าจอแสดงผล เราใช้ “ทัมบ์ไดรฟ์” บรรจุเพลงมาเพื่อไว้เพิ่มอรรถรสในการเดินทางกว่า 300 เพลง

ปรากฏว่าจอแสดงผลสามารถอ่านค่า แสดงผลชื่อเพลงเป็นภาษา “ไทย” ได้ชัดเจน

ขณะที่รถบางรุ่นทำมาเพื่อขายในบ้านเราแท้ ๆ แต่กลับไม่สามารถอ่านค่าได้

ฐานะผู้โดยสารสิ้นสุดลงเมื่อช่วง 300 กิโลเมตรแรกของวัน

ยังเหลืออีกเกือบ 300 กิโลเมตรหลัง

ไม่รอช้ากระโดดขึ้นไปนั่งในตำแหน่งหลังพวงมาลัย ปรับตัวเองเข้ากับสภาพต่าง ๆ ของรถและเส้นทาง เราพร้อมเดินทางต่อ

หลังจากช่วงแรกเจอทั้งแดดอ่อน ฝนตก ในช่วงบ่ายแก่นี้ สายฝนก็ยังไม่ยอมทิ้งหายจากคณะเรา

จนฟ้ามืด ยิ่งต้องใช้ความระแวดระวังที่ด้านหลังพวงมาลัย บวกกับความเร็วที่ต้องใช้เพื่อให้ทันกับเวลา

และขบวนไม่ขาดตอน บางช่วงของเส้นทางที่ต้องวิ่งตามไหล่เขา ทางแคบ วิ่งสวนเลนกัน มีสะดุ้งกันทุกครั้ง

โดยเฉพาะจังหวะที่วิ่งสวนช่วงทางโค้งกับรถบรรทุกเทรลเลอร์ ช่วงที่ซ้ายเป็นเขา ขวาเป็นทะเลสาบ

โชคดีหน่อยเส้นทางมีตัดสลับระหว่างเลนวิ่งสวน และ 4 เลน กว่าถึงจุดหมายของค่ำที่เมืองทรอมโซ

เวลาที่หน้าปัดแจ้งว่าเข้าสู่ 20.30 น. นี่เป็นการซ้อมรับน้องวันแรกของการเดินทาง

รุ่งขึ้นสัญญาณนัดหมาย คือ 6-7-8 ด้วยข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา ทำให้เราตัดสินใจได้ไม่ยาก

ที่จะลุกจากที่นอนเร็วกว่าเวลานัดหมายขึ้นมา 1 ชั่วโมง เพื่อให้พอมีเวลาได้ออกมาเดินเพื่อทำความรู้จักกับแต่ละเมืองที่เราพักค้างคืน

ระยะทางจากโรงแรมที่พักเดินมาไม่เกิน 2 บล็อก คือจุดหมายที่หมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อช่วงค่ำที่ขับรถผ่าน Tromso Domkirke ซึ่งเป็นวิหาร อาคารแบบโกธิค ซึ่งมีความเก่าแก่ ตั้งอยู่กลางเมือง

ก่อนที่จะเดินวกกลับมาชมตึกรามร้านรวงที่ช่วงเวลา 7 โมงเช้าที่แน่ ๆ ยังไม่มีร้านใด ๆ เปิดทำการ และได้เวลาล้อหมุนเมื่อเวลา 08.00 น.พร้อมสายฝน

วันนี้ไม่ไมนด์ 600 กิโลเมตร มุ่งสู่พรมแดนนอร์เวย์ตัดเข้า “ฟินแลนด์” ช่วงนี้เส้นทางเริ่มวิ่งลงสู่ที่ราบ ภาพของภูเขาสูงและธารน้ำตกเลือนหายไปกลายเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ให้ความรู้สึกแห้งผาก

สภาพถนนก็ไม่ได้ราบเรียบกริบ มีเส้นทางขรุขระให้ได้สัมผัส แต่เส้นทางวิ่งตรง ๆ ยาว ๆ ชวนให้สัปหงกไปหลายครั้ง

ทำเอาผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยต้องกลอกตามองตาบน…กันไป

ขบวนเราใช้เวลาอยู่ใน “ฟินแลนด์” ไม่นานนักก็ตัดข้ามมาสู่ “สวีเดน”

แวะรองท้องมือกลางวันด้วยอาหารท้องถิ่น ก่อนจะหวดกันยาว ๆ 350 กิโลเมตร

มุ่งหน้าสู่เมืองลูเลียของสวีเดน ซึ่งโชคเข้าข้างแม้เวลาจะล่วงเข้าไปสองทุ่มกว่า

เรายังมีซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างโคออปเปิดให้บริการอยู่ และกลายเป็น “โอเอซิส” สำคัญให้ชาวคณะเราได้ผ่อนคลาย

หลังจากใช้บริการมินิมาร์ตในปั๊มน้ำมันทุกแห่งที่เราได้แวะเติมมาจนเกลี้ยง

เมื่อเข็มนาฬิกาบอกว่า 08.00 น. ก็ได้เวลาบอกลาเมืองลูเลีย เพื่อก้าวข้ามอีก 900 กิโลเมตรต่อไป

เพื่อกลับเข้าสู่นอร์เวย์อีกครั้ง มุ่งไปยังเมืองอาเรีย

จะเป็นอย่างไรโปรดติดตาม

 

คลิกอ่าน >>> มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ตะลุยสแกนดิเนเวีย (1)