“เอ็มจี” กร้าวชิงแชร์ปิกอัพ/อีวี ดีเดย์กลางปี-ปลื้มขายโตดับเบิล2ปีซ้อน

เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพีเผยอาวุธใหม่ครึ่งปีหลังส่งเพิ่มอีก 2 โมเดล “ปิกอัพ-อีวี” ลุยตลาดหลังยื่นลงทุนบีโอไอกว่าพันล้าน ลั่นใช้โรงงานเหมราช ตั้งเป้าขึ้นแท่นผู้นำด้านเทคโนโลยี ปลื้ม “เอ็มจี” ยอดขายโตดับเบิล มั่นใจปีนี้ขายแตะครึ่งแสน

นายธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เปิดเผย”ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแผนธุรกิจของเอ็มจีในปีนี้ว่า หลังจากเอ็มจีเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยถือว่าผลดำเนินธุรกิจเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง โดยในปี 2561ที่ผ่านมาเอ็มจีมียอดขายเติบโตขึ้นเป็น 2 เท่าของยอดขายในปี 2560 ที่ผ่านมาส่วนปีนี้คาดว่าเอ็มจีจะมียอดขายเป็นดับเบิลของปี 2561 เช่นเดียวกัน

นายธนากรกล่าวถึงแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของเอ็มจีว่า ในช่วงปลายปีนี้บริษัทเตรียมส่งรถปิกอัพขนาด 1 ตันออกสู่ตลาดอีก 1 รุ่น ภายใต้แบรนด์

เอ็มจี ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถทำตลาดและมีส่วนแบ่งตลาดจากผู้เล่นระดับโลกทั้งญี่ปุ่นและอเมริกันได้อย่างน่าพอใจ และเอ็มจีต้องการให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ใช้สินค้าที่เป็นของดีในราคาถูก

“ผมคิดว่าไม่ใช่ง่ายสำหรับเอ็มจี ประเทศไทย ที่เราใช้ระยะเวลาเพียง 5 ปีในการเข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทย ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ แต่พอมาถึงวันนี้พวกเรามีความภูมิใจอย่างมาก เนื่องจากทำให้เอ็มจีสามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ของโลกได้ มียอดขายดับเบิลทุกปี เรามั่นใจเพราะว่าเรามีของดีราคาไม่แพงเรามั่นใจมาก ๆ ยิ่งเรามีส่วนแบ่งในพื้นที่ของตลาดมากขึ้นก็จะยิ่งทำให้ต้นทุนในการผลิตถูกลง และคุณภาพการผลิตรถยนต์จะดีขึ้น เป็นประโยชน์กับผู้บริโภค”

นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ออกสู่ตลาดอีก 1 รุ่น เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นการนำเข้ามาทำตลาดในรถเอ็มจี 6 ก่อน ควบคู่ไปกับความพยายามเดินหน้าเพื่อเปิดตลาดส่งออก หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทแม่ได้วางแผนให้ไทยเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกรถยนต์เอ็มจีออกไปจำหน่ายยังประเทศต่าง ๆ

“การนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำตลาดนั้นเราเชื่อว่าจะได้การตอบรับอย่างแน่นอน เนื่องจากรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และในประเทศจีน รถอีวีได้รับความนิยมค่อนข้างมาก และมีปริมาณการใช้ถึงครึ่งหนึ่งของรถอีวีที่มีจำหน่ายทั่วโลกด้วย”

ด้านนายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา เอ็มจีมียอดขายทั้งสิ้น 23,740 คัน โตเกือบ 100% จากยอดขาย 12,000 คัน ในปี 2560 ที่ผ่านมา

ส่วนปีนี้บริษัทตั้งเป้ามียอด 50,000 คัน และภายในสิ้นปี 2562 คาดว่าเอ็มจีจะมียอดขายรถยนต์สะสมไม่น้อยกว่า 100,000 คัน สัดส่วนการจำหน่ายในปีที่ผ่านมา หลัก ๆ คือเอ็มจี แซดเอส 60% เอ็มจี 3 อีก 25% ส่วนที่เหลือเป็นรุ่นอื่น ๆ 15%

ทั้งนี้ คาดว่าตลาดรถยนต์โดยรวมปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1.1 ล้านคัน โตขึ้นจากปีก่อนหน้า 5-10% โดยเฉพาะปัจจัยสนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจและจีดีพีของประเทศที่จะโตในระดับ 4-5% ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและโลจิสติกส์ สินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มที่ดีน่าจะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม รวมทั้งการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ของค่ายรถยนต์ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

สำหรับบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 2 รุ่นเป็นอย่างน้อย ควบคู่ไปกับความพยายามเดินหน้าสำหรับผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกจากนโยบายบริษัทแม่ต้องการให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยซ้าย-ขวาเพื่อการส่งออกที่สำคัญ โดยลงทุนไปกว่า 10,000 ล้านบาท ภายในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ดแห่งที่ 2 จ.ชลบุรี โดยโรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่กว่า 437 ไร่นี้สามารถผลิตรถยนต์ได้สูงถึง 100,000 คันต่อปี

นอกจากนี้บริษัทจะเดินหน้าขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายอีก 10 แห่งในปีนี้ จาก 130 แห่ง เป็น 140 แห่ง ครอบคลุม 66 จังหวัดทั่วประเทศ

“ส่วนของโรงงาน ถ้าปีนี้ไม่ติดปัญหาอะไร เราพร้อมเดินเครื่องและมีกำลังผลิตที่เพียงพอสำหรับรองรับตลาดในประเทศและส่งออก ซึ่งตอนนี้เรากำลังทำงานหนักในส่วนของตลาดส่งออก เนื่องจากกฎระเบียบของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันพอสมควร แต่เราก็พยายามอย่างเต็มที่ เพราะเป้าหมายของเราคือการเป็นฮับในส่วนของการผลิตเพื่อการส่งออกของเอ็มจี”

นายพงษ์ศักดิ์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าว่า บริษัทได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอภายใต้

โครงการรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ไปเป็นที่เรียบร้อย งบฯลงทุน 1,030 ล้านบาท และโครงการรถยนต์อีวีอีก 1 โครงการ แยกคนละแพ็กเกจ แต่เทคโนโลยีบางตัวอาจจะใช้ด้วยกันได้

“เอ็มจีมีสินค้าในไลน์เยอะ ถ้าไม่ติดอะไร เอ็มจีเราทำอยู่แล้ว และเราอยากจะเป็นผู้นำในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ”

ในส่วนของการลงทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่จะมารองรับเชื่อว่าสถานีชาร์จไฟฟ้าที่จะใช้กับรถยนต์ยี่ห้ออะไรก็ได้ ดังนั้นรัฐบาลและเอกชนที่สนใจลงทุนถือว่ามาในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด